กาลเวลาแห่งการโยกย้าย สับเปลี่ยน แต่งตั้งทดแทนคนที่เกษียณ หรือแต่งตั้งตำแหน่งใหม่ กำลังจะมาถึง ท่านเป็นคนเช่นนี้หรือไม่ ลองย้อนหลังไปอ่านนิทานอีสปอีกครั้งดูซิ
กบเลือกนาย
กบฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ในหนองน้ำใหญ่อย่างอิสระเสรีไม่มีใครคอยบังคับเคี่ยวเข็ญ ทำให้รู้สึกว่าพวกตนช่างมีความสุขสบายเหลือคณาอยู่ต่อมาพวกกบต่างปรึกษากันว่าการอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ควรจะมีหัวหน้าหรือพระราชาปกครอง ซึ่งนอกจากจะเกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วยังช่วยคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายให้กับพวกตนได้อีกด้วยครั้นมีความคิดเห็นตรงกันบรรดากบทั้งหลายจึงทำฏีกาถวายเทพเจ้าขอให้ช่วยส่งหัวหน้าหรือพระราชาที่มีความสามารถลงมาปกครองพวกตนเทพเจ้ารู้ว่าพวกกบมีความเป็นอยู่สุขสบายกันจนเคยตัว ก็เลยนึกอยากมีหัวหน้าไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้คิดจริงจังอะไร จึงประทานท่อนซุงให้หล่นจากฟาดฟ้าตกลงสู่หนองน้ำเสียงดังโครมใหญ่ เกิดคลื่นขนาดมหึมา พวกกบพากันตกใจกลัวรีบดำหนีไปหลบก้นสระ เมื่อเห็นว่าน่าจะปลอดภัยแล้วจึงพากันโผล่ขึ้นมา ครั้นเห็นซุงท่อนใหญ่ก็รู้ว่าเป็นพระราชาที่เทพเจ้าประทานมาให้ ต่างพากันดีอกดีใจและให้ความเคารพนอบน้อมท่อนซุงนั้น อยู่ต่อมาไม่นานมีกบตนหนึ่งเกิดใจกล้ากระโดดขึ้นไปเกาะบนท่อนซุงใหญ่ กับตัวอื่นๆเห็นว่าพระราชาของตนมิได้ว่ากล่าวอันใดก็พากันกระโดดตามขึ้นไปบ้าง“พระราชาของเราองค์นี้ท่านก็ใจดีอยู่หรอก แต่ช่างอ่อนแอไม่เอาไหนเลย วันๆได้แต่ลอยไปลอยมาแสนจะน่าเบื่อ” กบตัวหนึ่งกล่าวอย่างหมดความยำเกรง “น่าจะไปร้องขอพระราชาองค์ใหม่ที่เข้มแข็งกว่านี้มาปกครองพวกเราดีกว่า”เมื่อพวกกบทำฎีกาถวายเพื่อขอพระราชาองค์ใหม่ เทพเจ้าทรงพิโรธเห็นว่าพวกกบไม่รู้จักพอใจในความเป็นอยู่ที่แสนสุขสบายของตนคราวนี้เลยส่งนกกระสาไปแทนท่อนซุง พวกกบในสระต่างถูกจับกินเป็นอาหารไม่เว้นแต่ละวัน เมื่อได้รับความเดือดร้อนจึงพากันทูลขอพระราชาองค์ใหม่จากเทพเจ้าอีกครั้ง“เมื่อเจ้าไม่พอใจสภาพความเป็นอยู่เดิมของตน” เทพเจ้าตวาดเสียงดัง ลงมาจากฟากฟ้า” ก็จงทนอยู่กับสภาพที่พวกเจ้าร้องขอไปเถอะ..”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
การไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่ตนเป็นหรือที่ตนมีอยู่ เที่ยวร้องขอในสิ่งที่ต้องการไม่รู้จบสิ้น
ย่อมเกิดผลร้ายติดตามมาในที่สุด
หรือ
ลากับนาย
ลาตัวหนึ่งมีนายเป็นชาวสวน มันจึงต้องตรากตรำทำงานหนักแต่ได้อาหารการกินไม่ค่อยจะพอ จึงไปฟ้องเทพเจ้าเพื่อขอให้ส่งไปอยู่กับนายคนใหม่ เทพเจ้าได้ส่งให้ไปอยู่กับช่างปั้นหม้อ มันกลับยิ่งต้องทำงานหนักกว่าเดิมเพราะนายใหม่ใช้ให้มันบรรทุกดินไปส่งที่โรงปั้นหม้อแทบไม่มีเวลาหยุดพักลาหนีไปฟ้องเทพเจ้าอีกครั้ง โดยขอให้ส่งไปอยู่กับนายคนอื่น เทพเจ้าจึงส่งให้ไปอยู่กับช่างฟอกหนังนายคนที่สามใช้งานมันหนักมากยิ่งกว่านายสองคนแรกลาอยากจะไปขอให้เทพเจ้าส่งไปอยู่กับนายคนอื่นแต่เกรงว่าเจ้านายคนใหม่ของมันจะยิ่งใช้ให้ทำงานหนักกว่านายทั้งสามคนที่ผ่านมา“โธ่เอ๊ย เราไม่น่าหาความลำบากใส่ตัวเลย” ลารำพึงรำพันกับตัวเอง “อยู่กับนายคนแรกสบายกว่านี้มากมัก นี่ถ้าเราถูกใช้แรงงานจนตาย นายคนที่สามคงถลกหนังเราไปฟอกขายแน่ๆ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
เมื่อได้พบกับเรื่องทุกข์ยากหรือความลำบากควรที่จะอดทนต่อสู้ฝ่าฟัน หากไม่พอใจในสภาพที่เป็นอยู่ดิ้นรนไปไม่ถูกที่จะยิ่งทุกข์ยากลำบากกายใจมากกว่าเดิม
แต่เราอยากเห็นท่านเป็นแบบนี้
ราชสีห์กับหนู
ราชสีห์ตัวหนึ่งนอนหลับพักผ่อนยามบ่ายอย่างมีความสุข พลันต้องสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมาเพราะมีหนูตัวหนึ่งขึ้นมาวิ่งไต่ตามลำตัวโดยไม่ทราบว่าเป็นร่างของผู้เป็นเจ้าป่า ราชสีห์ใช้อุ้งเท้าตะครุบเอาไว้ด้วยความโกรธ ขณะจะลงมือสังหารก็ได้ยินเสียงหนูกล่าวคำวิงวอน“ท่านผู้เป็นราชาแห่งสัตว์ทั้งปวง โปรดไว้ชีวิตข้าสักครั้งหนึ่งเถิด เพราะข้าทำผิดไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มิได้มีเจตนาดูหมิ่นท่านแม้แต่น้อย” “ฮึ..ก็ได้ ในเมื่อเจ้าไม่มีเจตนาข้าก็จะปล่อยไปสักครั้งแล้วอย่ามากวนใจอีกล่ะ” ราชสีห์ไม่อยากได้ชื่อว่ารังแกผู้อ่อนแอกว่าจึงยอมเลิกรา “บุญคุณครั้งนี้ข้าจะไม่ลืมเลยตราบชั่วชีวิต หากมีโอกาสวันหน้าข้าต้องตอบแทนแน่ ถ้าท่านมีเรื่องเดือนร้อนอันใด โปรดส่งเสียงคำราม ข้าจะรีบมาทันที”“ฮะ..ฮะ..ฮะ..” ราชสีห์หัวเราะเสียงสั่น “สัตว์ตัวเล็กๆ อย่างเจ้านี่จะทำอะไรให้ข้าได้ ไป..รีบไปให้พ้นหน้า ข้าจะนอนต่อละ”หลังจากวันนั้นไม่นาน ราชสีห์ออกล่าเหยื่อและเกิดพลาดท่าไปติดบ่วงของนายพราน ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุดส่งเสียงร้องสั่นป่า หนูจำเสียงได้รีบมาช่วยกัดบ่วงของนายพรานจนขาด ราชสีห์จึงได้เป็นอิสระอีกครั้ง
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
การให้อภัยแก่ผู้อื่นย่อมส่งผลดีกับตนเอง อย่าดูหมิ่นผู้ที่ต้อยต่ำกว่า
เพราะสักวันหนึ่งเราอาจต้องพึ่งพาอาศัยเขาทุกชีวิตในโลกล้วนต่างต้องพึ่งพิงซึ่งกันและกัน
นกกระจาบกับชาวนา
นางนกกระจาบตัวหนึ่งฟักไข่อยู่ในรังซึ่งเป็นเขตนาข้าวของชาวนา เมื่อลูกๆของนางฟักออกเป็นตัวรวงข้าวในนาก็เริ่มสุก ก่อนออกไปหาอาหารในเวลาเช้านางนกกระจาบสั่งลูกๆไว้ว่า หากได้ยินชาวนาพูดอะไรให้จำไว้แล้วบอกกับแม่ “แม่จ๋า..วันนี้หนูได้ยินชาวนาพูดกับลูกชายของเขาว่าข้าวในนาเริ่มสุกแล้วจะไปขอแรงเพื่อนบ้านมาช่วยเกี่ยวในวันพรุ่งนี้ เรารีบอพยพไปอยู่ที่อื่นกันเถอะนะแม่” ลูกนกรีบบอกเมื่อแม่นกกลับมาที่รัง “รอไปก่อนเถอะลูก ถ้ามนุษย์คิดขอแรงให้คนอื่นมาช่วยเขาก็ยังไม่ได้ลงมือเกี่ยวข้าวหรอก” แม่นกตอบพร้อมกับสั่งว่าหากได้ยินชาวนาพูดอะไรอีกก็ให้จำไว้ วันต่อมาเมื่อแม่นกกลับจากหาอาหารลูกนกก็เล่าให้ฟังว่า “แม่จ๋า..วันนี้หนูได้ยินชาวนาพูดกับลูกชายของเขาว่าข้าวในนาสุกได้ที่แล้วรอช้าต่อไปไม่ได้ เขาจึงสั่งลูกชายให้ไปขอแรงญาติๆมาช่วยเกี่ยวในวันพรุ่งนี้ เรารีบอพยพไปอยู่ที่อื่นกันเถอะนะแม่” รอไปก่อนเถอะลูก”แม่นกตอบลูกเหมือนวันก่อน “ถ้ามนุษย์คิดขอแรงให้ญาติๆมาช่วย เขายังคงไม่ได้ลงมือเกี่ยวข้าวหรอก เพราะคนอื่นๆเขาก็มีงานต้องทำเหมือนกัน” เช้าวันที่สามเมื่อแม่นกกลับจากหาอาหาร ลูกนกก็รีบเล่าให้ฟังว่า “แม่จ๋า..วันนี้ได้ยินชาวนาพูดว่าข้าวสุกเต็มที่แล้วรอเพื่อนบ้านหรือญาติพี่น้องต่อไปไม่ได้ จะต้องลงมือเก็บเกี่ยวด้วยตัวเอง ให้ลูกชายของเขาไปจ้างคนมาช่วยในวันพรุ่งนี้ เรารีบอพยพไปอยู่ที่อื่นกันเถอะนะแม่” “ตกลงจ๊ะลูก” แม่นกรับคำ “เพราะเมื่อใดทีมนุษย์เลิกหวังพึ่งพาอาศัยผู้อื่น เขาก็จะเริ่มลงมือทำด้วยตนเองทันที”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
หากต้องการประสบความสำเร็จ จงเริ่มลงมือทำงานเดี๋ยวนี้และทันที
อย่าหวังพึ่งพิงผู้อื่น หรือผัดวันประกันพรุ่ง
แล้วพวกเราก็จะมีความสุขในชีวิตการปฏิบัติงานต่อไป