ดอกรัก
นาง อมรรัตน์ เปิ้ล เถื่อนทอง

ความคาดหวังในชีวิต


อุดมการณ์นำทาง

ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ผมมักจะพบตัวเองนั่งผ่อนคลายอิริยาบถอยู่ภายในห้องนี้เสมอ มันเป็นห้องที่อยู่ติดกับห้องนอนภายในบ้านพักครู แต่ด้วยความที่ครอบครัวผมมีกันอยู่แค่สองคน ดังนั้นห้องนี้จึงไม่มีความจำเป็นต่อการใช้หลับนอน และด้วยเหตุผลดังกล่าวห้องนี้ก็เลยกลายเป็นห้องที่ผมใช้สอยเพียงคนเดียว คือถ้าไม่อ่านหนังสือก็จะนั่งสูบบุหรี่อยู่เงียบ ๆ ปลดปล่อยอารมณ์ ความคิดและจินตนาการให้ล่องลอยออกไปไกลแสนไกล ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นกุศโลบายในการผ่อนคลายความเครียดอันวิเศษสุดเท่าที่ผมจะสรรหามาได้ และก็เป็นอันรู้กันกับเมียว่า ถ้าผมอยู่บ้านแล้วเวลาหล่อนเรียกใช้หรือตามหาไม่พบ ก็แสดงว่าผมเข้ามานั่งขลุกอยู่ในห้องนี้ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ อย่าได้ตามเข้ามาราวีเป็นอันขาด ซึ่งหล่อนก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเสมอมา
ผิดกับคนเหล่านั้น เพราะพวกเขาถืออภิสิทธิ์ที่จะเดินเข้าออกห้องของผมได้ตามอำเภอใจ ผมเองก็จนด้วยเกล้าที่จะห้ามปรามหรือขับไล่ ผลสุดท้ายก็ต้องปล่อยเลยตามเลย ผมต้องตั้งชื่อห้องนี้ในทำนองประชดประชันคนเหล่านั้นว่า “ห้องสาธารณะส่วนบุคคล” ด้วยหวังจะให้พวกเขาเหล่านั้นสำนึกและไม่เข้ามายุ่มย่ามในห้องนี้ถ้าหากผมไม่อนุญาต แต่มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย พวกเขายังทำตัวตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไง ว่างนักเหรอ มัวมานั่งให้เสียเวลาไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ ทำไมไม่คิดที่จะหางานพิเศษทำมั่งล่ะ ดูซิเนี้ย ขนขึ้นเต็มตัวหมดแล้ว” อาคันตุกะรายแรกเอ่ยทักทายเป็นทำนองติเตียน
“สอนหนังสือมาตั้งห้าวันแล้ว หยุดเสาร์-อาทิตย์ก็อยากจะพักผ่อนบ้างเป็นธรรมดา ไม่เห็นมันจะเป็นการขี้เกียจตรงไหนเลย” ผมเถียงเรียบ ๆ
“ไม่ลองทำธุรกิจดูมั่งเหรอ รายได้ดีนะ” เขาแนะนำ
“ไม่หรอก” ผมส่ายหน้าปฏิเสธ “สอนหนังสืออย่างเดียวก็แทบตายอยู่แล้ว ไหนจะต้องคอยไปรับไปส่งเมียอีก ยิ่งช่วงนี้สอบปลายภาค ต้องเร่งตรวจข้อสอบให้เสร็จ ไม่มีเวลามาคิดถึงเรื่องอื่นหรอก อีกอย่าง ผมเป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรสองอย่างในเวลาเดียวกัน” ผมให้เหตุผลและปฏิเสธเขาไปอย่างนุ่มนวล
“ก็คิดเสียว่าทำเป็นงานอดิเรกสิ อย่างคุณนี่ผมว่าควรจะขายประกันดีที่สุด เพราะมีเพื่อนฝูงมาก ลูกศิษย์ลูกหาก็เยอะ ดูท่าคงจะไปได้สวย” เขายังไม่ละความพยายาม
“ก็มันเป็นเสียอย่างนี้สิบ้านเมืองมันถึงได้ไม่เจริญกับเขาเสียที” ผมโพล่งออกมาอย่างเหลืออด “มัวแต่เอาเวลาราชการไปทำอย่างอื่น คุณรู้ไหม” ผมชี้หน้าเขาอย่างไม่เกรงใจ “ที่หลวงเขาจ้างผมมาเป็นครูนี่ก็เพราะว่าเขาอยากให้ผมทำประโยชน์ให้กับบ้านกับเมือง และผมก็ภูมิใจในอาชีพของผมมากพอแล้ว” ผมหยุดพูดและส่งสายตาเหยียดหยามไปให้เขา
“เราไม่ต้องไปเบียดบังเวลาของราชการก็ได้นี่” เขาพูดพลางใช้มือลูบปลายคางเบา ๆ “ตอนปิดเทอมเป็นไง ใช่…ตอนปิดเทอม โรงเรียนของคุณปิดที่ตั้งสองสามเดือนไม่ใช่เหรอ คุณเอาเวลาช่วงนั้นไปทำก็ได้นี่ ไม่มีใครมาว่าคุณหรอกเพราะมันเป็นวันหยุดราชการ ลองคิดดูนะ เงินเดือนคุณก็ได้เต็ม เงินจากงานพิเศษก็ได้ เผลอ ๆ อาจจะมากกว่าเงินเดือนด้วยซ้ำ ดูอย่างอาจารย์จรวยนั่นเป็นไร จากคนที่ไม่มีอะไรเลย แต่พอมาทำตามที่ผมแนะนำ เดี๋ยวนี้แกมีรถเก๋งขับไปสอนหนังสือทุกวัน เอาน่า…เชื่อผมเถอะ สมัยนี้ใคร ๆ เขาก็มีสองอาชีพทั้งนั้นแหละ บางคนมีเป็นสามเป็นสี่ ผมไม่เห็นเขาเดือดร้อนอย่างคุณเลย บางคนพอถึงสิ้นเดือนนั่งนับเงินมือแทบเคล็ด”
“ขอบคุณในความหวังดี แต่ผมว่าไม่ก็คือไม่” ผมยังยืนกรานคำพูดเดิม “ผมอยู่ของผมทุกวันนี้ก็มีความสุขตามอัตภาพ ไม่เป็นหนี้เป็นสินใครก็พอใจแล้ว ถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยต้องเข้า โรงพยาบาล หลวงเขาก็ออกให้ผมหมด ไม่ต้องเสียแม้แต่เก้เดียว คนอื่นเขาจะทำอะไร จะร่ำรวยล้นฟ้ายังไงผมไม่สนใจหรอก” ผมพูดตัดเยื้อใย
“คุณนี่มันหัวดื้อจริง ๆ” เขาว่า “ผมอุตส่าห์แนะนำทางเจริญให้ดี ๆ ไม่ชอบ อยากจะย่ำอยู่กับที่อย่างนี้ก็เชิญเถอะ แล้วอย่ามาบ่นเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”
ว่าแล้วเขาก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้องของผมอย่างรวดเร็ว
********************************
ผมนั่งดื่มด่ำอยู่กับชัยชนะครั้งล่าสุดด้วยความปีติ จนกระทั่งมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องสาธารณะส่วนบุคคลของผม
“อาจารย์ขา หนูจะมาขอคำปึกษาค่ะ อาจารย์พอจะมีเวลาว่างหรือเปล่า”
ผมจำได้ว่าแกเป็นเด็กที่ผมเป็นอาจารย์ประจำชั้นอยู่
“นั่งลงก่อนสิ มีเรื่องอะไรเหรอ” ผมพูดอย่างเป็นกันเอง
“คือว่าหนูอยากลาออกค่ะ”
“ลาออก” ผมโพล่งออกมาด้วยความแปลกใจ “ลาออกทำไม พ่อแม่หนูไม่มีเงินส่งเรียนแล้วเหรอ”
“ไม่ใช่ค่ะอาจารย์” แกพูดเสียงยาน ๆ
“แล้วมันเรื่องอะไรล่ะที่ทำให้เธอคิดลาออก”
“คือเมื่อวานหนูไปเดินห้างกับเพื่อนมา พอดีไปเจอพวกแมวมองของค่ายเทปเข้า เขาบอกว่าหนูเป็นคนหน้าตาดี ถ้าสนใจอยากเป็นนักล้องก็ให้ติดต่อเขาได้ นี่เขายังให้นามบัตรหนูมาเลยค่ะ”
ว่าแล้วแกก็ควักนามบัตรออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อเป็นการยืนยันคำพูด
“เธอก็เลยไม่อยากเรียน อยากเป็นนักร้องอย่างงั้นสิ” ผมถาม
“ค่ะ” แกรับคำพลางทำลอยหน้าลอยตา “หนูถึงได้มาปึกษาอาจารย์ไงคะ ว่าลาออกแล้วไปเป็นนักล้องจะดีไหม”
ความรู้สึกหดหู่แกมสังเวชได้หลั่งไหลออกมาท่วมท้นหัวใจของผมในขณะนี้
“พูดถึงหน้าตาของหนูก็พอใช้ได้อยู่หรอกนะ” ผมกล่าวช้า ๆ พลางระบายลมหายใจออกมาเหยียดยาว “แต่มันมีข้อเสียอยู่อย่างเดียว”
“อะไลคะ” แกถามขึ้นมาทันที
“ก็คือการพูดจาของหนูมันยังใช้ไม่ได้เลย” ผมบอก บนใบหน้าของแกปรากฏร่องรอยของความผิดหวังเจือปนอยู่เล็กน้อย “ร.เรือ ล.ลิง หนูยังพูดออกเสียงไม่ค่อยจะชัดเจนตามอักขระวิธี ไหนจะคำควบคำกล้ำอีก ครูว่าหนูตั้งใจเรียนให้มันจบ ๆ ก่อนจะดีกว่า เรื่องอื่นค่อยเอาไว้พูดกันทีหลัง”
มาถึงตรงนี้ผมก็อดที่จะตำหนิบรรดาค่ายเทปต่าง ๆ ไม่ได้ เขาคิดยังไงที่จับเอาเด็กที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาร้องเพลง ยิ่งพวกที่เป็นลูกครึ่งลูกกลางยิ่งแล้วใหญ่ ทำให้ภาษาไทยวิบัติไปหมด จนเดี๋ยวนี้เด็กข้างบ้านผมก็หัดที่จะพูดไทยไม่ชัดกันแล้ว
“แต่หนูว่าถ้าขืนเลียนไปก็ลังแต่จะเสียเงินไปป่าว ๆ สู้ไปเป็นนักล้องก็ไม่ได้ เดินสายทีได้เงินเป็นหมื่น”
แกพูดหลังจากที่นั่งเป็นใบ้อยู่นาน
ให้ตายเถอะ ตอนนี้ผมอยากจะเอาไม้เรียวหวดก้นแกสักสองสามที เผื่อว่าไอ้ความคิด
อัปรีย์อันนี้จะออกไปจากหัวสมองของแกได้บ้าง
“หนูลองคิดดูนะ” ผมพูดอย่างเป็นการเป็นงาน หลังจากที่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้แล้ว “ถ้าหนูไปเป็นนักร้อง พอดังได้สักพักก็จะมีคนใหม่ที่เก่งกว่า ร้องเพลงเพราะกว่าเข้ามาแทนที่ แล้วทีนี้หนูจะทำอย่างไร อย่าลืมสิว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า วงการนี้น่ะเขาเอาเฉพาะคน
หนุ่ม ๆ สาว ๆ เท่านั้นแหละ – แน่นอน ตอนนี้หนูอาจจะยังสาวอยู่ แต่พอนานไปพออายุมันก็มากขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็เลิกจ้าง ถ้าเขาเลิกจ้างหนูก็ไม่มีงานทำ ต้องตกงาน เพราะไม่มีใครที่ไหนเขาจะรับคนที่ไม่มีความรู้เข้าทำงานหรอก แล้วงานสมัยนี้มันหาง่ายเสียที่ไหน คนจบปริญญาตรีบางทีเดินเตะฝุ่นแทบจะเหยียบกันตายก็มีถมไป เถอะน่า ทนเรียนต่อไปอีกสักพัก ให้มันจบเสียก่อนแล้วอย่างอื่นค่อยมาว่ากันอีกทีจะดีกว่า” ผมอธิบายพร้อมทั้งสาธกตัวอย่างให้แกฟังอย่างละเอียดยิบ
“แต่ทางค่ายเทปเขาต้องการคำตอบเล็วที่สุด เพราะตอนนี้เขาก็เล็งเอาไว้หลายคนเหมือนกัน” แกพูดอ้อมแอ้มไม่ค่อยเต็มเสียงนัก
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจหนูเถอะ” ความอดทนของผมสิ้นสุดลงแล้ว “ครูก็ได้แต่แนะนำด้วยความหวังดี ส่วนหนูจะนำเอาไปปฏิบัติหรือไม่นั้นมันเป็นเรื่องของหนูที่จะตัดสินใจเอาเอง ครูขอให้หนูโชคดีก็แล้วกัน”
หางเสียงสุดท้ายของผมดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่นัก จนผมอดนึกตำหนิตัวเองไม่ได้
เด็กสาวเดินออกไปจากห้องของผมไปแล้ว ผมนึกเสียดายอนาคตของแก ที่ในเมื่อมีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียนแต่กลับทำเป็นไม่สนใจ คอยแต่จะสนุกสนานไปวัน ๆ ผิดกับอีกหลายคนที่อยากเรียนใจแทบขาด แต่พ่อแม่ผู้ปกครองไม่มีปัญญาจะส่งเสีย
******************************
บุหรี่ถูกเรียกให้ออกมาจากซอง ประกายไฟสีแดงของไม้ขีดลามเลียปลายมวนอย่างรวดเร็ว ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อยู่ได้ไม่นาน แม่ลูกคู่หนึ่งก็มาปรากฏกายอยู่ต่อหน้า
“อยากให้อาจารย์เปลี่ยนชื่อให้มันหน่อยค่ะ” ผู้เป็นแม่แจ้งความประสงค์ทันที
“ชื่อเก่ามันไม่ดีหรือยังไง ใช้มาตั้งหลายปีแล้วไม่ใช้เหรอ”
ที่ผมพูดอย่างนี้ก็เพราะว่าพอจะเดาอายุของเด็กหนุ่มคนนั้นได้ว่าคงไม่เกินสิบห้าไปมากมายเท่าใดนัก
“พระที่วัดบอกว่าชื่อของมันมีตัวกาลกิณี ทำอะไรก็มักจะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะต้องคอยเริ่มต้นอยู่ตลอดเวลา ฉันก็ว่ามันคงจะจริง เพราะไอ้หมอนี่มันเปลี่ยนโรงเรียนมาสามหนแล้ว” นางพูดพลางหันไปถลึงตาใส่ลูกชาย
“ผมว่ามันไม่เกี่ยวกันหรอก ตัวอักษรเพียงตัวสองตัวมันไม่สามารถที่จะมาเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของคนเราได้ ไอ้ดวงดงดวงดาวนั่นก็เหมือนกัน ผมไม่เห็นว่ามันจะมากุมชะตาราศีหรือมามีอำนาจเหนือกว่าคนเราได้เลย ของอย่างนี้มันอยู่ที่ตัวเรานี่แหละ ทำดีมันก็ดี ทำไม่ดีมันก็ไม่ดี ดูอย่างชื่อของผมนี่ประไร พระท่านบอกว่ามีตัวกาลกิณีอยู่ตั้งสองตัว แต่ผมไม่เห็นเดือดร้อน ทุกวันนี้ก็อยู่สุขสบายดีทุกประการ แถมยังได้เป็นครูสอนคนอีกต่างหาก” ผมแกล้งยกตัวอย่างชื่อของตัวเองเป็นข้อเปรียบเทียบเพื่อให้ผู้เป็นแม่คลายความกังวล
“แต่ฉันก็ยังอยากเปลี่ยนให้มันอยู่ดีแหละค่ะ เพราะลำพังชื่อเก่าของมันก็เหม็นไปทั้งซอยอยู่แล้ว ถ้าเปลี่ยนใหม่เผื่อบางทีอะไร ๆ มันจะดีขึ้นมาบ้าง นึกว่าสงสารมันเถอะครู” นางพูดทำนองอ้อนวอน
“เอาเถอะ ๆ ” ผมรีบตัดบท “ชื่อเก่ามันว่าอะไรล่ะ” ผมถาม
“ชื่อบุญชูค่ะ พระท่านว่าตัว ช.ช้างเป็นกาลกิณี” ผู้เป็นแม่รีบตอบสวนกลับมาทันที
“ชื่อบุญชูเหรอ เอาอย่างนี้ เปลี่ยนเป็นบุญรอดก็แล้วกัน จะได้รอดพ้นจากความชั่วร้ายทั้งปวง”
ความจริงผมพูดส่ง ๆ ไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก
“จำไว้นะ” ผู้เป็นแม่พูดเสียงเขียว “ต่อไปนี้เอ็งชื่อบุญรอด ยังไม่รีบของคุณครูเขาอีก”
“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มกล่าวพร้อมกับยกมือไหว้ ผมพยักหน้าเป็นการตอบรับ
“เสร็จธุระแล้ว ฉันกลับก่อนนะคะครู” นางกล่าวคำอำลา จากนั้นทั้งสองก็เดินออกไปจากห้องผมพร้อม ๆ กัน
***************************************
ตะวันใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว ผมคิดว่าถ้าขืนนั่งอยู่ในห้องนี้ต่อไป ไม่ใครก็ใครสักคนคงจะต้องนำเรื่องปวดเศียรเวียนเกล้ามาสู่ผมอีกเป็นแน่ ผมจึงตัดสินใจออกมาจากห้องนั้นแล้วตรงเข้าห้องนอนทันที
“นี่คุณ ฉันว่าจะตัดเสื้อใหม่สักสองตัว – คุณว่าไง” เมียที่กำลังรีดผ้าเอ่ยถามทันทีที่เห็นหน้าผม
“ตัวเก่ามันคับแล้วเหรอ” ผมถาม
“คุณหาว่าฉันอ้วนงั้นเหรอ” หล่อนแว้ดขึ้นเหมือนกับว่าคำพูดของผมที่หลุดออกไปนั้นมันหยาบคายสิ้นดี
“ไม่ใช่อย่างนั้น” ผมพูดพลางถอนใจอย่างเบื่อหน่าย “ก็ผมเห็นว่าเสื้อผ้าของคุณยังดี ๆ อยู่ทั้งนั้นเลย แล้วจะไปเสียเงินตัดใหม่ทำไม”
“ทรงมันล้าสมัยแล้ว อีกอย่าง เพื่อน ๆ ที่ที่ทำงานเขาก็ตัดใหม่กันทั้งนั้น” หล่อนให้
เหตุผล
“ก็เลยคิดจะเอาอย่างเขาล่ะสิ – นี่ ผมจะบอกอะไรคุณให้” ผมพูดพร้อมกับเดินไปหาหล่อนที่โต๊ะรีดผ้า
หล่อนวางเตารีดลงกับแท่นพักก่อนที่จะหันหน้ามาทางผม “บอกอะไรเหรอคะคุณครู”
“เสื้อผ้าที่เราใส่กันอยู่ทุกวันนี้น่ะ ความจริงแล้วเราใส่มันเพื่อปิดบังความอุจาดในร่างกายของเราเท่านั้นเอง ไม่เห็นจะมีความจำเป็นอะไรเลยที่จะต้องใส่ไปประชันขันแข่งหรือใส่ตามอย่างคนอื่นเขา อายุอานามของคุณก็ใช่น้อย ๆ เลขสี่นำหน้าแล้วไม่ใช่เหรอ”
“คุณหาว่าฉันแก่แล้วงั้นสิ” หล่อนสวนคำพูดของผมทันควัน
“เปล่า” ผมยักไหล่ “คุณเคยได้ยินที่เขาพูดไหมว่า แฟชั่นน่ะถึงมันจะสวยงามเลิศเลอสักเพียงไหน แต่ในที่สุดคนเราก็ต้องแก้ผ้าอยู่ภายใต้มันอยู่ดี”
“ข้อนั้นฉันไม่สน” หล่อนกล่าวอย่างไม่ยี่หระ
“เสื้อผ้าของคุณก็ใช่ว่าจะมีน้อยเสียเมื่อไหร่ ผมว่าถ้าคุณกับผมตาย แล้วเอาเสื้อผ้าของคุณคนเดียวมาแทนฟืนเผาไฟ ผ้ายังไม่ทันหมดเลย เราสองคนคงจะเป็นขี้เถ้าไปแล้ว”
พูดจบผมก็เดินออกมาจากห้องนอนทันที
“นั่นคุณจะไปไหน มาพูดกันก่อน” หล่อนส่งเสียงดังตามมาอย่างกระชั้นชิด
“ไปกินเหล้า” ผมตะโกนตอบ พร้อมกับตั้งใจว่าจะไปหาปรองดอง อาจารย์สอนวิชาภาษาไทยผู้เพื่อนที่มีบ้านพักอยู่ใกล้เคียงกัน…
******************************


คำสำคัญ (Tags): #ป
หมายเลขบันทึก: 212074เขียนเมื่อ 27 กันยายน 2008 12:00 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 มิถุนายน 2012 13:07 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท