เดิมทีการ ศรัทธา นี้สังเกตว่ามันสามารถคิดคนละส่วนกับ ความเชื่อได้
เราจะศรัทธา ทั้งในสิ่งที่พิสูจน์ได้ และพิสูจน์ไม่ได้ไอ้สิ่งที่ยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ บางคนยังศรัทธา อาจเพราะคนที่รู้จักและอ้างอิงได้ในข้อมูล ได้บอกต่อ ๆ กันมาหรือตามตำราครูบาอาจารย์
จะมีทั้ง 4 รูปแบบในการเกี่ยวเนื่องกับศรัทธาและความเชื่อ
ศรัทธาและเชื่อ-ไม่ศรัทธาและไม่เชื่อ-เชื่อแต่ไม่ศรัทธา และศรัทธาแต่ไม่เชื่อ
คนที่ศรัทธาอาจไม่เชื่อในสิ่งที่ศรัทธา แต่ก็ไม่คิดที่จะทำลายหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ศรัทธาอยู่ อาจทำให้ความคิดต่อสิ่งที่ศรัทธาออกมาในรูปแบบที่แตกต่างจากคนอื่น ๆ ก็เท่านั้น
แม้พิสูจน์ไม่ได้ว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ ไม่เชื่อในพระเจ้า แต่เค้าก็ยังศรัทธา (อาจเข้าแนวทางไม่เชื่อ และไม่ลบหลู่) หรือ เชื่อในทฤษฎีการทดลองเชิงวิทยาศาสตร์เข้า และได้พิสูจน์เห็นจริง แต่ก็ไม่ได้ศรัทธายึดความจริงนั้นในการยึดเหนี่ยวเป็นแรงทางจิต
คนทุกคน ย่อมมีสิ่งที่ตนศรัทธา มีสิ่งที่ตนเชื่อ บางครั้งก็ทั้งศรัทธา ทั้งเชื่อแล้วแต่จะยึดสิ่งไหนเป็นที่จะส่งผลให้จิตใจ ขับเคลื่อนร่างกายไปตามแรงศรัทธา และ/หรือ ความเชื่อนั้น
หลาย ๆ คนจะศรัทธาหรือเชื่อ สิ่งต่าง ๆ ไม่ว่า บุคคล หรือวัตถุ หรือนามธรรม เชิงปรัญชา อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลตาม ข้อพิสูจน์ ตามประโยชน์ที่ได้จากสิ่ง ๆ นั้น บางคนมีหลาย ๆ สิ่งที่ศรัทธา หลาย ๆ ความเชื่อ ตามแต่ที่จะให้ผลไม่จำกัดกาล
ต้องเชื่อในสิ่งที่ได้รับรู้และเป็นความจริงที่สัมผัสได้จากอายตนะ 6 ภายใน(ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
ต้องเชื่อ และ ต้องศรัทธา ด้วยแก่นแท้จากใจ หากมีข้อแคลงใจ จงพิจารณาด้วยสติ ต่อสิ่งนั้นให้ แล้วจะได้สิ่งที่จะขับเคลื่อนร่างกายต่อ อย่างไม่มีหมดไปแน่นอน
ภาวะจิต
ศรัทธาความเชื่อนั้น สองนัย
ความเชื่ออาจหลงไหล ยิ่งแล้
ศรัทธาอาจงมงาย ในสิ่ง เทียมนา
ความเชื่อศรัทธาแท้ เหล่านั้นอันไหน
เป็นเกียรติ์อย่างสูงที่ท่าน ผอ.เข้ามาเยี่ยมกับโคลงสี่อันสละสลวยครับ
ศัพท์ที่ลงไปมาเรียงรูปแบบที่สวย ท่าคงใช้เวลาไม่นานในการประพันธ์
นับถือครับ นับถือ