อิศรา ประชาไท
ผมคงเป็นคนโง่ หรือ ไม่ทันสมัยพอสมควร หรือ อาจ เป็นคนรุ่นกลางเก่ากลางใหม่ หรือเป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์ หรือไม่ก็ไม่สามารถจะตอบคำถามให้กับตนเองได้ เพราะผมคงโง่จริง ๆ
ผมเคยร่วมงานกับกิจกรรมการเมืองภาคประชาชน หลายครั้งหลายครา ไม่ได้เป็นผู้ปฏิบัติงานแนวหน้าหรือแกนนำสำคัญอะไรหรอก เป็นผู้ปฏิบัติงานเล็ก ๆ คนหนึ่ง ด้วยจิตสำนึก รักความสงบ เกลียดการรังแกและการเอารัดเอาเปรียบ
ผมเข้าร่วมกับขบวนการนิสิตนักศึกษาของประเทศไทย ที่ยุคสมัยของผม เรียกว่า องค์การนิสิต 18 สถาบัน หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 องค์กรนิสิตไม่สามารถรวมศูนย์ เป็นศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย เช่นเดิมได้ เราจึงมี ขบวนการนักศึกษาที่เรียกว่า 18 สถาบัน โดยมี นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็นประธานองค์กรนักศึกษา 18 สถาบัน ซึ่งมาจาก มหาวิทยาลัยมหิดล มี คุณวสันต์ ภัยหลีกลี้ เป็นผู้นำอีกคนหนึ่งจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และตัวนายกองค์การนิสิต ทั้ง 18 แห่ง เป็นคณะกรรมการ ผมไม่มีเกียรติถึงขนาดเป็นตรงนั้นดอกครับ เพราะผมเป็นแค่ผู้ปฎิบัติงานในส่วนของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
รับผิดชอบภารกิจขององค์กรนิสิตของพวกกระผมและดูแลภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากองค์กรของ 18 สถาบันซึ่งการได้ทำงานรับผิดชอบในส่วนเครือข่ายถือเป็นภารกิจอันสำคัญและมีเกียรติยิ่งเพราะไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกแบบปัญเจกชนที่มีในตัวหรือเปล่า ก็คือ ความภาคภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการนิสิตนักศึกษาของประเทศไทย และได้เป็นผู้ปฏิบัติงานของ 18 สถาบัน
การปฏิบัติภารกิจที่สำคัญให้แก่องค์กรนิสิตทั้ง 18 สถาบัน ที่ถือเป็นเกียรติยศยิ่งสำหรับผม คือ การนำภาพแห่งความจริงของการทำร้ายร่างกาย วงดนตรีของนักศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งเดินทางไปแสดงที่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม ชื่อ วงเกี่ยวดาว กับวงฟ้าสาง ซึ่งเป็นเหตุการณ์การทำร้ายนักศึกษาในสถานที่สาธารณะ อย่างอุกอาจยิ่ง โชคดีมีการถ่ายภาพได้ แต่ไม่สามารถจะนำออกมาจากพื้นที่ได้เนื่องจากความไม่มั่นใจในความปลอดภัย จึงจำเป็นที่จะต้องหาผู้ปฎิบัติงานลงสู่ที่เกิดเหตุ และต้องคุ้นเคยกับพื้นที่ ผมจึงถูกเลือกกับรุ่นพี่ คุณบุญยืน คงเพชรศักดิ์ ให้ออกไปดำเนินภารกิจดังกล่าว ซึ่งผมถือว่า เป็นวาสนา ของผมจริง ๆ ที่ได้ทำภารกิจดังกล่าว และยังคงเก็บเป็นความภาคภูมิใจจนเท่าทุกวันนี้ ที่ภาพต่าง ๆ ที่บันทึกไว้ และถูกตีแผ่ให้ประชาชนทั้งประเทศได้เห็น ถึงความโหดร้าย การทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ไม่มีการตัดต่อภาพ มีแต่ภาพเหตุการณ์จริง ๆ และถูกเผยแพร่ในวันต่อมาหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ และออกสู่สายตาผ่านทางสื่อมวลชนโดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นผมได้เข้าร่วมเหตุการณ์อีกหลายเหตุการณ์ทั้งส่วนของหน่วยงานผมรับผิดชอบ และ ส่วนของ 18 สถาบัน
หลังจากจบจากศึกษาแล้วเข้ามารับราชการที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ก็เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ผมได้เข้าร่วมด้วย เพียง คิดว่า การล้อมปราบและทำร้ายผู้ชุมนุมเป็นความผิดอย่างไม่ควรบังเกิดขึ้นในสังคมไทย อย่างสิ้นเชิง ผมเดินทางไปขอนแก่นเพื่อร่วมแจกใบปลิวต่อต้านการล้อมปราบประชาชนที่ถนนราชดำเนิน ร่วมกับคณะประชาชนผู้รักสิทธิเสรีภาพในจังหวัดขอนแก่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแพทย์ พยาบาล และนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นความสุขอีก เมื่อภาพผมกำลังเดินแจกใบปลิวเรียกร้องรัฐบาลให้หยุดทำร้ายประชาชน ได้ลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา การร่วมคัดค้านและเรียกร้องเพื่อความถูกต้องให้เกิดขึ้นในสังคม ก็เป็นภารกิจหนึ่งที่ได้กระทำมา แต่ก็ยึดถือในกรอบกติกา อันผู้เป็นข้าราชการพึ่งกระทำได้
ครั้งล่าสุดคือการร่วมคัดค้านกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ คือ กฏหมายรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ในนามนักวิชาการอิสระร่วมกับนักวิชาการในส่วนต่าง ๆ ทั่วประเทศ กับมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เพราะผมคิดว่า การฉีกรัฐธรรมนูญของเผด็จการถือว่า เลวร้ายอย่างยิ่ง มิหนำซ้ำกับร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ ที่มองอย่างไรก็ไม่เป็นรัฐธรรมนูญที่เอื้อต่อการบริหารประเทศอย่างดีเลย เพียงเพื่อสะกัดกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง มิให้มีส่วนรวมในวิธีทางประชาธิปไตย ผมคิดว่าเหตุผลที่ดำเนินกันจึงฟังไม่ขึ้น และขัดต่อแบบแผนที่ดีของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง
ดังนั้นเมื่อมีการเรียกร้องจากผลพวงของรัฐธรรมนูญ และเพื่อล้มล้างรัฐบาล ที่เรียกว่า นอมินี ของอดีตนายกคนเดิม ผมคิดว่า ในมุมมองของผม ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดว่า ผมมองถูก หรือ ผิด อาจจะเป็นเพราะผมโง่เกินไป และก็ไม่กลัวการตกเวทีประวัติศาสตร์แล้ว ผมจึงขอเดินออกมาเป็นผู้ดู มีมิตรสหาย และญาติพี่น้องมากมายเข้าร่วมการชุมนุมและขับไล่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยการนำขององค์กรที่เรียกตนเองว่า การเมืองภาคประชาชน
หลายคนชักชวนให้ผมเข้าร่วมและเป็นกำลังใจ แต่ผมกราบเรียนท่านเหล่านั้นว่า ผมขอเป็น การเมืองภาคประชาช คนดู และเป็นพลังเงียบดีกว่า เพราะเมื่อใดก็ตามหากเรา มนุษย์มีวาทกรรมโดยการใช้ปากพูด ใช้มือเขียน และมุมมองการพูดและเขียน แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ไม่ได้แสดงความยอมรับฟังกัน อย่างมีเหตุมีผล ต่อการพูดการเขียนของคนอื่นที่ต่างความคิดเรา แน่นอนที่สุด ความจริงย่อมไม่ปรากฏ วิธีคิดที่แตกต่าง ระบบคิดคนละระบบ หากศึกษารับฟังกันอย่างมีเหตุมีผลย่อมนำมาซึ่งการอยู่ร่วมกันได้ อย่างสันติสุข ไม่ก่อเกิดความขัดแย้ง หรือเมื่อเกิดความขัดแย้ง ก็ไม่ควรแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างรุนแรง แทนที่จะใช้ความนุ่มนวลแก้ปัญหาอย่างรังสรรค์
ผมไม่รู้หรอกว่า ปัญหามันซับซ้อนซ่อนเงื่อนขนาดไหน แต่คนที่เป็นคู่กรณี ที่เป็นตัวละครเอก ก็เป็นคนอยู่ใน โรงละคอนโรงเดียวกัน ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น คุณจำลอง คุณสนธิ คุณทักษิณ และคนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็อยู่ในวงการเดียวกันทั้งนั้นตั้งแต่ พลังธรรม สันติอโศก กองทัพธรรม สื่อมวลชน ธุรกิจสื่อมวลชน ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดาวเทียม โทรคมนาคม และอื่น ๆ เราไม่รู้หรอกว่าวันหนึ่งคนคบกันเป็นเพื่อนรักกันดูดดื่ม มีวาทกรรมออกมาปรากฎต่อสายตาประชาชนมากมาย มีกระบวนทัศน์ในการดำเนินการภารกิจเพื่อส่วนรวมร่วมกันในยุคหนึ่ง และวันหนึ่งเพื่อนรักกันก็ไม่เผาผีกัน และมีเรื่องราวมากมากเปิดเผยออกมา จริงเท็จเราไม่รู้ และเราก็ไม่ทราบว่า อันใดคือความจริง อันใดคือความเท็จ เพราะโลกวันนี้ใครสามารถควบคุม สื่อสารเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้ ก็สามารถเป็นผู้ทรงอิทธิพล อย่างใหญ่หลวงยิ่ง และที่สำคัญเรา ปุถุชนคนหนึ่ง ก็ไม่ใช่คนในแวดวงของเขาเหล่านั้น แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร อะไรคือ ส่วนรวม อะไรคือส่วนตัว ผมโง่จริง ๆ ที่แยกแยะไม่ได้ ผมจึงยอมเป็นคนโง่ ดีกว่า
วันนี้ผมไม่ดูข่าว จากสำนักที่บ่งบอก มีมุมมองอย่างชัดเจนว่าเป็นของใคร ทั้งรัฐ และเอกชน ผมยินดีที่จะอ่านหนังสือพิมพ์ที่รากหญ้าอ่านกัน ใครจะว่าเชย ไม่ใช่ปัญญาชน ผมก็ยอมรับ ผมยินดีที่อ่าน ตั้งแต่ เดลินิวส์ ไทยรัฐ เพราะมีเรื่องราวคนติดดินมากมาย มีละคอนทีวีดู ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง ผมไม่ดูแล้วรายการทีวีที่นักประชาสัมพันธ์บางคนไปหยิบเอาข่าวของคนอื่นมาวิพากษ์ ผมจะหมุนหนีเปลี่ยนช่องทันที หากินง่ายเกินไป เพียงแสดงวาทกรรม และแสดง วิวาทะออกมา แล้วทำให้สังคมลุกเป็นไฟ เพียงแค่ได้แสดง วาทกรรม และรับเรตติ้งเพิ่มมากขึ้น สื่อมวลชนแบบนี้มีเยอะจริง ๆ และหากินกับข่าว อย่างดาษดื่นในสังคมไทยร่วมกับการแสดงวาทกรรมอย่างชาญฉลาดที่เขามี ก็เท่านั้นเอง
ผมขอยอมโง่ดีกว่า และขอตกขบวนรถไฟสายประวัติศาสตร์ประชาชนในวันนี้ อย่างสิ้นเชิง ด้วยความเต็มใจ
ขอเรียนว่าอาจารย์ อิศรา ประชาไท คิดได้เขียนได้โดนใจจริง ๆ กับเหตุการบ้านเมืองที่ไร้เหตุผลในยามนี้ ผงอีกคนหนึ่งที่ยอมตกขบวนรถไฟสายประวัติศาสตร์หน้านี้ และยอมโง่อยู่ที่เหตุผลของตัวเองดีกว่า และยังศรัทธาและเคารพ ยึดมั่น สถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากระกษัติย์ อย่างมั่นคง ขอสนับสนุน ..........ครับ
มายกมือว่า
หนิงตกรถไฟขบวนสุดท้าย...
เอ๊ะ...ความหมายเดียวกันป่าวนี่ อิอิ
สวัสดีครับอาจารย์วรรณศักดิ์พิจิตร
ขอบคุณครับ
บทความโดนใจเช่นกัน เพราะคนใกล้ชิดก็งดการบริโภคสื่อทุกประเภทตั้งแต่มีความวุ่นวายเมื่อปี 49 ขอบคุณที่นำมาแบ่งปันค่ะ
ขอบคุณพี่ สะ-มะ-นึก ที่นำเสนอข้อมูลสองด้านให้เรามองเห็น ที่ขอบคุณมิใช่เพราะ พี่ สะมะนึก เห็นด้วยกับแนวคิดผม แต่ขอบคุณก็เพราะ พี่ทำให้คนไทยที่เป็นกลางมองเห็นว่า ประเทศไทยยังมีคนมองเห็นทาง มองเห็นธรรม (แปลว่า ความจริงที่เกิดขึ้นจริง) มองเห็นเหรียญทั้งสองด้าน มองอย่างไม่มีมายาคติ หลุดออกจาก คำว่า พวก คำว่า พ้อง คำว่า สถาบัน เข้ามาปนให้เกิดความขัดแย้ง หากนำเอาไปใช้ด้วย โทสะ โมหะ และสุดท้าย ประเทศของเรา พัง เสียหาย และพินาศ ไปในที่สุด สันติภาพขอจงบังเกิดเถิดครับ
ขอบคุณ คุณพอใจ เราคงเป็นคนรุ่นเดียวกัน และคงพลาดขบวนรถประวัติศาสตร์เหมือนกัน ที่เพื่อน พี่ พ้อง น้องผม หลายคน ขึ้นไปจนแน่นทำเนียบ แต่ผมไม่เสียใจที่ตกรถ และยิ่งเห็นเพื่อนพ้องน้องพี่อีกหลายคน น่าจะเยอะนะตกรถด้วย ก็ไม่ได้ดีใจที่เขาตกรถเหมือนเรา แต่ ดีใจที่ มองเห็นแววตา ของคนที่ตกรถ ว่า แววตาของพวกเรา ยังมีความฝัน มีความหวัง หวังให้ประเทศชาติสู่ความสงบ สันติภาพบังเกิด
ขอคุณพระคุ้มครองประเทศไทย สาธุ
ขอพระคริสต์เจ้าคุ้มครองประเทศ ไทย อาเมน
ขอพระฮัลเลาะห์เจ้าคุ้มครองประเทศไทย
หากคำอธิษฐานของผมนอกจากของศาสนาพุทธไม่ถูกต้องวิธีการ กระบวนการทางพิธีกรรมศาสนานั้น ๆ กระผมกราบขออภัยมา ณ โอกาสนี้ แต่ทำด้วยสุจริตใจอยากให้ประเทศสู่สันติภาพโดยเร็ว
ขอบคุณน้องนุ้ย ที่เป็นกำลังให้แก่กันและกัน ขอชื่นชมกับกิจกรรมที่เป็นผลักดันให้เกิดความคิดอ่านที่ดี กับน้อง ๆ ของเรา ขอบคุณยิ่ง
สวัสดีครับท่านอาจารย์
ดีใจมากครับที่ผมได้มีโอกาสทราบขบวนรถไฟประวัติศาสตร์
เป็นกำลังใจให้ครับท่านอาจารย์
สวัสดีค่ะอาจารย์