239 การบ้านจากนิวเดลี (2) จบ


เปิดใจกว้าง

ให้อ่านเกริ่นนำในตอนที่ 1 มาอ่านต่อในตอนที่ 2 ให้จบเลย

การบ้าน

โดย

นางสาวมานิตา เฉลิมทรงศักดิ์ ข้าราชการพันธ์ใหม่ กพร.

 

 

เปิดใจให้กว้าง

            มีภาษิตว่า เจองู เจอแขก ให้ตีแขกก่อน  เป็นประโยคเด็ด ที่มักจะได้ยินอยู่บ่อยๆ เป็นการแสดงให้เห็นถึงค่านิยมของคนไทยที่มีต่อชาวแขกอย่างไร   เชื่อว่าปัจจุบันยังมี หลายๆ คน ที่ยังคงคิดเช่นนั้น อาจเป็นเพราะคตินี้ได้สะสมเป็นทัศนคติที่ฝังรากลึกสืบต่อกันมาจนหาเหตุผลไม่ได้ว่า ทำไมคนไทยถึงคิดเช่นนี้กับแขก เคยถามเพื่อนที่เกลียดแขกมากๆ ว่าทำไม ถึงเกลียดแขกนักหนา  ก็ได้คำตอบว่า ไม่รู้  แต่รู้ว่าแค่เห็นหน้าแขก ก็ไม่ชอบ ไม่อยากเข้าใกล้ รู้สึกว่าแขกนิสัยไม่ดี!!!”  ได้ฟังคำตอบแล้ว ก็งงไปพักนึง ก็ไม่ทราบว่า แขกไปทำอะไรให้คุณเธอเจ็บแค้นแต่ปางก่อนเพียงใด ถึงไปคิดว่าเขานิสัยไม่ดี   เชื่อว่าเป็นเรื่องที่อธิบายไม่ได้ว่าทำไมมีคนไทยอีกจำนวนไม่น้อย ที่ไม่ชอบ แขก และเกลียด        แขกอย่างไม่มีเหตุผล   ตอนแรก ดิฉันก็ดูเหมือน จะเป็นไปกับเขาด้วย  ประมาณว่า โรคเกลียดแขกนี้ สามารถติดต่อกันได้ง่ายๆ ทางลมปากกันอย่างนั้น แต่ตอนนี้ มีวัคซีนป้องกันโรคเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากนับว่า เป็นโชคดีของดิฉันที่ได้รับการชี้แนะในทางที่ดีตั้งแต่วันแรกที่มาถึง ทำให้ไม่พลาดสิ่งดีๆ ตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่อินเดีย

วันแรกที่ได้มาสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี ก็ได้เข้ารายงานตัวกับท่านเอกอัครราชทูต  ท่านทูตฯ ได้ให้กำลังใจและการต้อนรับอย่างเป็นกันเอง ทำให้มีกำลังใจและรู้สึกอบอุ่น สำหรับการเริ่มต้นทำงานในต่างแดนที่มีความแตกต่างกับประเทศไทยอย่างมาก  ต่อมา ได้เข้ารายงานตัวกับท่านอัครราชทูต สิ่งแรกที่ท่านอัครฯ ได้สอน คือ เมื่อมาอินเดีย ขอให้ เปิดใจให้กว้าง แล้วจะได้รับอะไรดีๆ กลับไปอย่างที่คิดไม่ถึง  ได้รับปากกับท่านอัครฯ และบอกกับตัวเองว่าต้องทำใจและเปิดใจให้กว้าง เพื่อรับสิ่งใหม่ๆ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ดีๆ ตามที่ท่านให้คำแนะนำไว้ นับจากวันนี้เป็นต้นไปอีก 4 เดือน  ดังนั้น ขณะที่เดินออกมาจากห้องก็ได้ข้อคิดในทันทีว่า ข้อดีในความไม่ดีของการมาอินเดีย  ข้อแรกก็คือความรู้สึกที่บอกได้ทันทีว่า เราโชคดียิ่งนักที่ได้มาอินเดีย ได้มาฝึกงานที่สถานทูตไทย ได้พบกับท่านผู้ใหญ่ที่ใจดี มีเมตตา  ได้พบกับพี่ๆ ที่น่ารัก คอยดูแลเหมือนเป็นน้องคนหนึ่งของสถานทูต คอยดูแลและเป็นห่วงตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่ประเทศอินเดีย ขอบคุณพี่หนาวและพี่เกรซที่ดูแลตั้งแต่วินาทีแรกที่ลงจากเครื่องบิน  รวมถึงต้องขอขอบคุณพี่ก้อง พี่เจง พี่ไผ่ พี่นู่ และพี่ๆ ทุกท่านที่สถานทูตอินเดีย ที่ได้ดูแลน้องเป็นอย่างดี  ขอตั้งใจว่า นับจากนี้ไป จะตั้งใจทำงานและปฏิบัติงานให้เป็นประโยชน์แก่สถานทูตอย่างเต็มที่

 

 แขกน่ากลัวขนาดไหน?!?!

            ขอเข้าเรื่อง ข้อดีในความไม่ดีของอินเดีย”  สิ่งแรกที่อยากจะพรรณนา คือ เรื่องของแขก”  จากทัศนคติในทางลบที่ได้ยินก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับชาวอินเดียที่ชอบเอาเปรียบสารพัด จนกลายเป็นความเชื่อที่ฝังรากลึกในจิตใจของชาวไทยทั่วไปหลายคนสืบทอดต่อกันมา

ดิฉันคิดว่าคนอินเดีย ก็เหมือนกับคนเอเชียทั้งหลาย มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้เกียรติผู้อื่นเสมอ และหากได้รับความเคารพ ความนับถือที่แสดงออกอย่างจริงใจจากผู้อื่น มิตรภาพและไมตรีก็จะเปิดรับตอบด้วยความยินดีและความผูกพันเช่นกัน    ตัวอย่างที่เห็นจากคนใกล้ๆ คือ นาซี คนขับรถประจำสถานทูตไทย ในเดลี เป็นผู้ที่ทำงานกับสถานทูตมาเกือบสี่สิบปี  อาจกล่าวได้ว่า เกือบทั้งชีวิตของ นาซี แทบจะอยู่กับสถานทูตไทยเลยทีเดียว ได้ปฏิบัติงานให้แก่ท่านทูต นักการทูต หรือข้าราชการไทยทุกท่านที่ได้มาประจำการอยู่ที่สถานทูตที่เดลีแห่งนี้ ทุกๆ คนต้องรู้จักนาซีกันทั้งนั้น   สิ่งที่นาซี”  มีอย่างสม่ำเสมอ คือ รอยยิ้มที่จริงใจ ทุกเช้าจรดเย็น แม้ว่านาซีจะได้ตระเวนขับรถมาทั้งวันจะเหนื่อยเพียงใดก็ตาม แต่เมื่อพบหน้ากัน  “นาซี ก็จะยิ้มรับ และเปิดประตูรถทุกๆ ครั้งให้แก่ทุกๆ ท่าน  บางครั้งแม้จะล่วงเลยเวลาทำงานแล้วก็ตาม จะดึกแค่ไหน หากใครจำเป็นต้องเรียกใช้บริการ นาซี ไม่เคยปฏิเสธ หรือบ่นเลย จะมีก็แต่รอยยิ้มและความสุภาพอยู่เสมอ  ซึ่งกรณีการทำงานของ     นาซี นี้เป็นอะไรที่น่าแปลกใจและประทับใจมากๆ สำหรับความมีน้ำใจของคนอินเดียเช่นนี้ เ คยแอบคิดกลับไปเปรียบเทียบกับพนักงานขับรถตามส่วนราชการที่ประเทศไทย มีน้อยคนนักที่เป็นอย่าง        นาซี

เขียนชมนาซีมากเกินไป จะถูกกล่าวหาได้ว่า ไม่ได้เป็นตัวแทนของคนอินเดีย เพราะนาซีทำงานกับสถานทูต จึงมีน้ำใจกับทุกๆท่านในสถานทูต  แต่ขอยืนยันว่าจากการที่ได้พบเห็นกับคนอินเดียตลอดระยะเวลา 4 เดือนนี้ ทั้งจากที่ทำงาน ที่พัก สถานที่ที่ได้ไปเที่ยวชมต่างๆ มีทั้งคนมีน้ำใจ มากๆ และคนมีน้ำใจน้อยๆ บ้าง ซึ่งก็คงเหมือนกับหลายๆ ที่ ที่เราจะพบคนที่หลากหลายแตกต่างกันไป ซึ่งก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนกัน แต่สำหรับคนอินเดียแล้ว โดยส่วนใหญ่ มักจะพบกับคนมีน้ำใจ  ที่พร้อมจะช่วยเหลืออย่างจริงใจและไม่หวังสิ่งตอบแทน ดังนั้น เพียงเราแสดงไมตรีจิตก่อน หลังจากนั้นเราก็จะได้รับไมตรีและมิตรภาพ ที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลืออย่างจริงใจตอบแทนกลับจนเราไม่คาดคิดเลยทีเดียว

 อินเดียหน้าโจร

เมื่อได้พบเจอกับคนอินเดียที่มีน้ำใจอย่างล้นเหลือดังกล่าวข้างต้นแล้ว  ก็อาจจะมีคำถามว่า แล้วที่เขาว่ากันว่าพวกแขกขี้โกง มีจริงหรือไม่??  บางคนบอกว่า พวกแขกเคี่ยวมาก ชนิดเขี้ยวลากดินกันเลยทีเดียว จะซื้อของต่อรอง หากชั้นเชิงไม่ทันแขกแล้วละก็ อาจจะต้องเสียรู้แขกกันเลยทีเดียว แต่จากที่ได้ติดต่อ ได้จับจ่ายซื้อของตามแหล่งท่องเที่ยว ดิฉันยังไม่พบเหตุการณ์ขนาดที่ว่ากันข้างต้น  ส่วนตัวเห็นว่าน่าจะเป็นเรื่องของชั้นเชิงทางการค้าขายมากกว่า  ซึ่งหากคิดแบบไม่เข้าข้างตนเองแล้ว ที่ไหนๆ เช่นประเทศไทย จีน ลาว เวียดนาม ฯลฯ ก็เป็นเช่นนี้  หากวิเคราะห์กันจริงๆ แล้ว ประเทศอินเดียถือว่า เป็นประเทศที่กว้างใหญ่ มีประชากรมากกว่าหนึ่งพันล้านคน  ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมีมาก  เมื่อยังจน ปัจจัย 4 จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าเรื่องใดๆ ฉะนั้น การดิ้นรน ชีวิตต้องสู้เพื่อความอยู่รอด จึงผลักดันให้คนอินเดียต้องแข่งขันกัน มีวิธีการค้าทุกรูปแบบ ไม่เหนื่อยไม่ท้อ จนเราตัองเห็นใจในที่สุด  แม้ตอนแรกจะรู้สึกรำคาญกับนักขายของที่ระลึก ที่คอยตามยื้อนักท่องเที่ยวหรือแย่งลูกค้ากัน ซึ่งดิฉันกลับกลายเป็นเห็นใจและสงสารในความพยายาม จนต้องอดใจอ่อนซื้อของที่ระลึกกลับไป ครั้งหนึ่ง ได้มีโอกาสไปเที่ยว Amber Fort ในเมือง Jaipur มีเด็กชายอินเดียตามติดขายของอย่างไม่ลดละ แม้จะรู้สึกรำคาญอย่างมากในช่วงแรกๆ แต่ด้วยความพยายามของเด็กคนนี้ ที่วิ่งตามรถจิ๊บของพวกเราที่กำลังขับลงจากเขา และวิ่งตามอย่างไม่ลดละจริงๆ ทำให้อดสงสารและใจอ่อน จำต้องซื้อของที่ระลึกไป เพื่อเห็นแก่ความพยายามของเด็กน้อยคนนี้ จึงอดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตความเป็นอยู่คงยากลำบากมาก จึงต้องดิ้นรน ต่อสู้เพื่อความอยู่รอดด้วยวัยที่ยังน้อยขนาดนี้ ซึ่งเป็นข้อดีของคนอินเดียที่มีความขยันในการทำงานที่สุจริต มากกว่าที่จะเลือกฉกชิงวิ่งราว  ตามคำบอกเล่าว่า ปัญหาการฉกชิงวิ่งราว หรือล้วงกระเป๋า ในอินเดีย มีจำนวนน้อยมากๆ  ซึ่งคงจะจริงเพราะดิฉันยังไม่เคยเห็นเลย ตลอดระยะเวลา 4 เดือนนี้ ไม่ว่าจะท่องเที่ยวไปสถานที่ใดๆ  ในอินเดีย

นอกจากนี้ ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของการช็อบปิ้งในอินเดีย ที่นอกจากจะไม่ต้องกลัวการฉกชิงวิ่งราวแล้ว คือเวลาเดินซื้อของตามร้านค้า แม้จะเป็นเพียงแค่เดินเข้าไปเลือกชมและถามไถ่ราคาสินค้า หรือแม้แต่ได้เข้าไปต่อราคาอย่างดุเดือดเลือดพล่านแค่ไหนแล้วก็ตาม หากภายหลังเราปฏิเสธไม่ซื้อสินค้า ก็จะไม่มีการโกรธเคืองกันใดๆ ทั้งสิ้นจากคนอินเดีย จะมีก็แต่รอยยิ้มพร้อมกับคำขอบคุณกลับมา

ผู้นำด้านเศรษฐกิจ

            เมื่อพูดถึงชีวิตเด็กอินเดียที่วิ่งตามขายของแล้ว หลายคนอาจคิดว่าอินเดียเป็นประเทศที่ยากจนถึงสุดแสนจน ความคิดดังกล่าว อาจจะถูกต้องเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว  แต่ปัจจุบัน อินเดียเป็นประเทศที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งมีศักยภาพทางเศรษฐกิจไม่แพ้จีน และในหลายครั้ง มักจะถูกยกขึ้นมาเทียบเคียงกับจีนด้วยซ้ำ  ประเทศที่เป็นมหาอำนาจของโลกอย่างสหรัฐฯ ต้องหันมาให้ความสนใจ รวมถึงประเทศอื่นๆ ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญกับอินเดียมากขึ้น  เศรษฐกิจของอินเดียมีการขยายตัวอยู่ที่ประมาณร้อยละ 8.9 ต่อปี ทำให้อินเดียกลายเป็นที่จับตามองว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกที่สำคัญภายในระยะเวลาอันใกล้นี้

            ปัจจุบัน รัฐบาลอินเดีย ซึ่งนำโดย ดร.มาโมฮาน ซิงห์ (Mamohan Singh) ได้เร่งสร้างความแข็งแกร่งโดยการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐาน ที่เห็นได้ชัดคือ การปรับปรุงถนนหนทาง และวางระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน ให้ครอบคลุมทั่วทั้งกรุงนิวเดลี การปรับปรุงสนามบินนานาชาติ ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่และอาคารพาณิชย์ ต่างผุดขึ้นอย่างรวดเร็ว  เพื่อรองรับกับอำนาจซื้อของคนเมืองที่เพิ่มขึ้นทุกวันๆ แต่สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญที่สุดของการพัฒนาระบบเศรษฐกิจ คือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการพัฒนาอุตสาหกรรมด้านไอทีขึ้นมา เพื่อเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของอินเดีย

            ในด้านความเหลื่อมล้ำของรายได้ประชากร  จำนวนประชากรอินเดียที่มากเกินกว่าหนึ่งพันล้านคน  ทำให้ความแตกต่างระหว่างคนรวยและคนจนมีมาก จนอาจทำให้ดูเหมือนว่าจำนวนของคนจนในอินเดียนั้นมีมากมายมหาศาล แต่หากเทียบเป็นสัดส่วนกันจริงๆ แล้ว จะเห็นได้ว่า จำนวนชนชั้นกลางในอินเดีย อยู่ที่ประมาณร้อยละ 30 ของจำนวนประชากรทั้งหมด ซึ่งมีจำนวนสูงถึงเกือบ 300 ล้านคน มากกว่าประชากรในประเทศไทยเกือบ 5 เท่า และคนกลุ่มนี้จะมีผลต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจในการขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว   นอกจากนี้ ประเทศอินเดีย มีทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ ชาวอินเดียส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษได้ดี  มีความรู้ สามารถสื่อสารได้ไม่มีปัญหาในระดับพื้นฐาน ทำให้ง่ายต่อการทำงานระดับสากล ในขณะที่ชาวไทยยังมีการใช้ภาษาอังกฤษในสัดส่วนที่ไม่มากนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องปรับปรุงเพื่อรองรับโลกข้างหน้าให้ได้ เป็นโอกาสที่เราจะเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันในยุคโลกาภิวัฒน์

            ข้อดีอย่างหนึ่งในการมาเที่ยวอินเดียคือ เดินไปบนท้องถนน ผู้คนสองข้างทางสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ตั้งแต่ระดับพอใช้จนถึงรู้เรื่องอย่างดี ทำให้สามารถเดินเที่ยวเล่น ช็อบปิ้ง ต่อราคาได้เองสองฝ่าย โดยไม่ต้องรบกวนบุคคลที่สาม

 

ส่าหรีหรือสายเดี่ยว???

ปัจจุบัน วัฒนธรรมและรูปแบบการแต่งกายของตะวันตกกำลังไหลทะลักเข้าสู่ประเทศต่างๆ   ซึ่งหลายชาติ ก็ได้ถูกวัฒนธรรมใหม่กลืนหายไป ทำให้วัฒนธรรมท้องถิ่นและขนบทำเนียมประเพณีของชนชาตินั้นๆ ต้องหายไป

แต่สำหรับประเทศอินเดียแล้ว  เนื่องจากภูมิอากาศที่ร้อน อินเดียจึงมีวัฒนธรรมการต่างกายที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมด้วยการสวมใส่เสื้อผ้าที่โปร่งสบายๆ และแม้ว่าอิทธิพลวัฒนธรรมการแต่งกายของตะวันตกได้แพร่เข้าสู่วัฒนธรรมท้องถิ่น  โดยวัยรุ่นชาวอินเดียก็ได้รับเอาวัฒนธรรมการแต่งกายตามชาวตะวันตกเข้ามาด้วยเช่นกัน มีทั้งแขนกุด ขาสั้น สายเดี่ยว ให้เห็นได้ตามย่านวัยรุ่น ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังเห็นวัยรุ่นที่สวมใส่ชุดส่าหรี่ และชุด Salwar kameez ซึ่งเป็นชุดลำลองของคนอินเดีย เป็นการผสมผสานระหว่างการแต่งกายสมัยใหม่และการต่างกายด้วยชุดประจำชาติ ทั้งในชีวิตประจำวัน การทำงาน วันพักผ่อน หรือแม้กระในการประชุมระดับนานาชาติ โดยที่ไม่รู้สึกว่าเป็นความล้าหลัง หรือเชยล้าสมัยแต่อย่างใด

การที่ชาวอินเดียยังนิยมใส่ชุดประจำชาติกันอยู่  แสดงให้เห็นว่า ชาวอินเดีย มีความภูมิใจในวัฒนธรรมการต่างกายของตนและสวมใส่ชุดประจำชาติของตนเอง ซึ่งผลดีที่ตามมาคือ ความสบายที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ และความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ว่าใครก็ตามได้เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นคนชาติอินเดีย

 

 

ความประทับใจที่ไม่รู้ลืม

ใครบ้างที่ไม่อยากเห็น ไม่อยากสัมผัส ทัชมาฮาล อนุสรณ์สถานแห่งความรัก ที่งดงามที่สุด หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก?   ใครบ้างที่ไม่อยากมาเยือน สักการะ สังเวชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ และเลื่องชื่อของชาวพุทธ ที่ส่วนใหญ่อยู่ในอินเดีย เพื่อความเป็นสิริมงคลชีวิต??   แต่จากทัศนคติในทางลบ และข้อมูลที่ห่างไกลจากข้อเท็จจริง ชนิดเวอร์มากๆ ทำให้หลายคนได้พลาดกำไรชีวิตที่จะได้มาท่องเที่ยวที่อินเดีย ได้มาสัมผัสดินแดนที่ยิ่งใหญ่ และประทับใจไม่รู้ลืม

            ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมสถานที่ที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดี และเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ทัชมาฮาล สร้างความประทับใจและตื้นตันใจ ทั้งในแง่ของศิลปะสถาปัตยกรรมความงดงามที่ยิ่งใหญ่ และซาบซึ้งกับประวัติความเป็นมา ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานที่จารึกเรื่องราวความรักที่ยิ่งใหญ่และแสนงดงาม ระหว่างจักรพรรดิ์ชาร์ จาฮาล และพระนางมุมตัสมาฮาล การสิ้นพระชนม์ของพระนางมุมตัสมาฮาล จึงเหมือนเป็นการเริ่มต้นเรื่องราวของความรักอันยิ่งใหญ่  หินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์นับแสนตัน ถูกขนผ่านระยะทางนับร้อยไมล์สู่พื้นที่ราบริมฝั่งแม่น้ำยมุนา คนงานช่างฝีมือเกือบ 20,000 คน  แรงงานช้างนับพันเชือก  อัญมณีหินมีค่า ทั่วทั้งแผ่นดิน ถูกรวบรวมมาประดับสุสาน ตั้งแต่เพดานจรดพื้น  สุสานหินอ่อนอันยิ่งใหญ่ ที่ใช้เวลาการก่อสร้างยาวนานถึง 22 ปี  และได้รับพระราชทานนามว่า ทัชมาฮาล ตามพระนามของพระมเหสี มุมตัส มาฮาล อันเป็นที่รักยิ่งขององค์จักรพรรดิ์ชาร์ จาฮาล   ทัชมาฮาล จึงยังคงเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ ที่ยังคงอยู่คู่แม่น้ำยมุนาต่อไป

            นอกจากนี้ ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมสถานที่ที่พุทธศาสนิกชนควรจะได้มาจาริกสักครั้งหนึ่งในชีวิต คือการตามรอยสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง เพื่อให้ซึมซาบถึงเรื่องราวของพุทธประวัติ จากสถานที่จริง แต่ด้วยระยะเวลาที่มีจำกัด จึงได้ไปแค่สถานที่เดียว โดยหนึ่งในสังเวชนียสถานทั้ง 4 ที่ได้ไป คือ พุทธคยา สถานที่ที่พุทธองค์ตรัสรู้ ซึ่งการได้มาเยือนครั้งนี้ เปรียบเสมือนเราได้มาก้มกราบหน้าพระพักตร์พุทธองค์ หน้าแท่นวัชรอาสน์ ณ ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์แห่งนี้ ได้น้อมระลึกถึงคุณแห่งพระธรรมที่ได้ถือกำเนินขึ้น ณ ที่แห่งนี้ เมื่อ 2500 กว่าปีมาแล้ว  และยังได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมสถานที่ที่สำคัญเกี่ยวกับพุทธศาสนา ในบริเวณใกล้เคียงอีกหลายๆ แห่ง เช่น ภูเขาคิชกูช , บ้านนางสุชาดา เป็นต้น ซึ่งสถานที่เหล่านี้ ยังคงขนบธรรมเนียมประเพณี วรรณะ และความยากแค้น ให้ได้เห็นบ้างตามสองข้างทางที่ผ่าน  ซึ่งการเดินทางมาอินเดียนี้ จะต้องมีศรัทธาและความตั้งใจแรงกล้า พร้อมที่จะปรับตัว และเรียนรู้กับสิ่งรอบข้างอยู่ตลอดเวลา

            ยังมีอีกหลายๆ ที่ที่ได้ไปเที่ยว ซึ่งความประทับใจแตกต่างกันไป แต่การได้ท่องเที่ยวในอินเดียนี้ คือความสุขที่ได้เดินทางไปในที่ต่างๆ ได้เรียนรู้เรื่องราวทั้งจากสถานที่และผู้คนรอบข้าง ทำให้เราเข้าถึงและเข้าใจอินเดียอย่างแท้จริง

          ชีวิตหลังฝึกงาน

            ฤดูฝนเข้ามาเยือนกรุงนิวเดลีตามกำหนดในเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นเวลาที่ครบกำหนดการฝึกปฏิบัติราชการ 4 เดือนพอดี แม้ฝนจะช่วยสร้างความชุ่มฉ่ำให้กับอากาศที่ร้อนอบอ้าวมาตลอดในช่วงงหน้าร้อน แต่ก็ได้สร้างความใจหายให้กับจิตใจขึ้นมาถนัด ระยะเวลาการฝึกปฏิบัติราชการ 4 เดือนนี้ ดูเหมือนจะเป็นระยะเวลานาน แต่เมื่ออยู่จริงๆ แล้ว ระยะเวลา 4 เดือนนี้ ช่างแสนสั้นนัก เมื่อเทียบกับพื้นที่ที่กว้างใหญ่ของอินเดีย สถานที่ที่สวยงามกับวัฒนธรรมที่หลากหลายที่ยังไม่สามารถเข้าไปเรียนรู้ได้ทั้งหมดได้ภายในระยะเวลาอันสั้น 

            เมื่อย้อนมองกลับมา ตั้งแต่วันแรกที่ได้มาถึง มุมมองที่ได้มองคนและประเทศอินเดียนั้นได้เปลี่ยนไปจากเดิม ได้เห็นความความงดงามข้างทางมากมาย แฝงเร้นอยู่ ได้เห็นผู้คนรอบข้างที่ยังยิ้มและใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้ แม้ในความเป็นอยู่ที่แสนลำบากยากเข็ญ ที่เรากลับไปคิดว่า เขาจนแสนจน อยู่อย่างลำบาก แต่จริงๆ แล้วพวกเขากลับอยู่อย่างมีความสุขตามวิถีชีวิตหรือตามความพอเพียงของตนเอง ทำให้นึกถึงคำของนักเขียนผู้หนึ่งที่บอกไว้ว่า จงมองอินเดียในอย่างที่เขาเป็น ไม่ใช่แบบที่เราอยากให้เขาเป็น

             ซึ่งประสบการณ์ที่มีคุณค่าทั้งหมดนี้  สำหรับสี่เดือนที่ผ่านมา.....

ขอบพระคุณ... ท่านทูต ที่เมตตาให้โอกาสหนูได้มาฝึกงานที่ สอท. และให้โอกาสทำงานและท่องเที่ยวอย่างเต็มที่

ขอบพระคุณ....ท่านอัครฯ ที่เมตตาให้คำสอนและแง่คิดต่างๆ เกี่ยวกับอินเดีย

ขอบพระคุณ....พี่ๆ ที่ สอท. พี่หนาว พี่ก้อง พี่เกรซ พี่เจง พี่ไผ่ พี่นู่ พี่ขจรศักดิ์ พี่รสริน และพี่ๆ ทุกๆ ท่าน ในทีมไทยแลนด์ ที่คอยดูแลและพาเที่ยวมากมายในอินเดียนะคะ

ขอบคุณ..........โลกใบนี้ ที่นอกจากมีเมืองไทยบ้านเราที่น่าอยู่แล้ว ยังมี อินเดีย เมืองที่มีความอัศจรรย์ใจให้เราไม่รู้สึกเบื่อเลยอีกด้วย.....

ขอบคุณ.........คนอินเดียหลายๆ คน ที่ทำให้เรารู้สึกว่า ถึงเราจะอยู่โดยไม่รู้จักใคร แต่ก็มีคนที่ยินดีจะยิ้ม และช่วยเหลือ แบบว่า มิตรภาพข้ามโลกค่ะ

ขอบคุณ.........เพื่อนๆ ที่มาเยี่ยมเกือบหนึ่งอาทิตย์ ทำให้เราไปไปเที่ยวสิ่งมหัศจรรย์ของโลก......

.....ทัชมาฮาล....ด้วยกัน

และขอบคุณ......พรมลิขิต ที่ทำให้ได้มาอินเดีย.....

 .................................

อ่านจบแล้ว ผู้อ่านคงคิดเช่นเดียวกับผม ว่าเป็นบันทึกที่มีสาระ มาจากประสบการณ์ตรงและถือว่าสะท้อนให้เห็นภาพวิถีอินเดียได้ดีมาก

ขอบคุณคุณมานิตาที่อนุญาตให้เผยแพร่ ซึ่งเป็นประโยชน์มากกับคนทั่วไปที่สนใจเรื่องอินเดีย

โอกาสหน้าจะพยายามหาการบ้านมานำเสนออีกครับ

 

 

หมายเลขบันทึก: 205123เขียนเมื่อ 2 กันยายน 2008 17:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 พฤษภาคม 2012 13:30 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)
  • ตามอ่านทั้ง2บันทึก
  • เป็นความล้ำลึกของท่านทูต
  • ทำให้ นางสาวมานิตา เฉลิมทรงศักดิ์ ข้าราชการพันธ์ใหม่ กพร. ได้ใช้ธรรมชาติของความใฝ่รู้ เปิดใจเรียนรู้ ได้อย่างน่าชื่นใจยิ่งนัก
  • เคยบ่นกับท่านทูตเรื่องการศึกษาในประเทศไทยที่น่าห่วงใย
  • ขาดการจุดประกายให้เด็กใช้ธรรมชาติองปัญญาอย่างอิสระ
  • การยอมรับความแตกต่างทางความคิด จึงมีปัญหาที่แก้ยากขึ้น

คุณ Lin Hui ครับ

ผมชอบใจแนวการสอนเด็กของครูอินเดียครับ

"ไม่ได้สอนให้หาคำตอบที่ถูก แต่สอนให้รู้จักตั้งคำถามที่ถูก"

ลึกซึ้งมากครับและสมควรที่ครูไทยจะนำไปพิจารณาการสอนเด็กตามความเหมาะสมครับ

ขอบคุณครับที่มาทักทายกัน

เจริญสุขทุกคืนวันครับ

สวัสดีค่ะ

ขอขอบคุณเจ้าของบล็อก และผู้บันทึกนี้

อ่านจบด้วยความรู้สึกที่อยากจะบอกว่า มีความรู้สึกต่ออินเดียเช่นนั้นจริงๆ

ถ่ายทอดได้ดีมาก ลึกซึ้ง และสมกับเป็นการบ้าน ที่เขียนมาจากใจ

อินเดียไม่มีเรื่องให้จินตนาการมากมาย เหมือนบางประเทศ

แต่อินเดีย มีแต่เรื่องปลุกเร้าจิตวิญญาณ

ใครอยากมีความเจริญใจ ต้องไปอินเดีย...สักครั้ง นะคะ

ในส่วนตัวเอง ก็ขอให้ได้ไปอีก อีก และอีกครั้งค่ะ

ขอบคุณค่ะ

โยคีน้อย

อินเดีย ต้องใช้คำว่ามีเสน่ห์กระมั้ง

ถ้าใครเกิดได้ไปมา ก็ต้องถวิลหาอยากไปอีก

เพราะมีเรื่องที่ต้องค้นหาอีกมากมาย

ขอให้โยคีน้อยได้กลับไปอีกนะ

ขอบคุณที่แวะมาทักทายกัน

ของคุณแทนคุณมานิตา ผู้เขียนด้วย

เรียน ท่านพลเดช

ขอชื่นชมคุณมานิตาที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกเกี่ยวกับอินเดียได้เป็นอย่างดี อยากเปิดโลกทัศน์คนไทยจำนวนไม่น้อยที่มองภาพอินเดียแบบติดลบ ทำไมคนไทยจึงอยากตีแขกก่อนตีงู คงเป็นพราะในอดีต มีชาวอินเดียที่อพยพมาอยู่ในประเทศไทยที่ยังมีฐานะยากจนต้องดิ้นรน ปากกัด ตีนถีบ ขายของเงินผ่อนเก็บดอกเบี้ยรายวัน (ใครจะอึดเท่าคนอินเดีย?) หรือปล่อยเงินกู้ เก็บดอกเบี้ยเงินกู้แพงๆ หรือเก็บทุกวัน ลูกหนี้ชาวไทยไปเบี้ยวเขา (หรือเปล่า) จึงไปว่าเขาหน้าเลือด เพราะก่อนซื้อขายหรือกู้ยืมก็ต้องตกลงเงื่อนไขกันก่อนแล้ว ถ้าทุกฝ่ายรักษาสัญญา คงไม่มีปัญหา เราทำไม่ได้ตามสัญญาแล้วไปว่าร้ายให้คนอื่นเช่นนี้ ระหว่างแขกกับไทย ควรตีใครก่อนคะ

ดิฉันเห็นเพื่อนๆ อินเดียก็พยายามหาสาเหตุนี้อยู่เหมือนกันก็ได้ทราบมาอย่างที่เล่าว่าคงเป็นเหตุนี้ด้วย เดี๋ยวนี้ ชาวอินเดียในไทยส่วนใหญ่ก้าวข้ามความยากจนเป็นส่วนใหญ่ มีความสามารถเป็นผู้ให้และช่วยสังคมไทยมากมายโดยไม่ต้องตีฆ้อง

จงเปิดใจเถิด แล้วท่านจะรู้ว่า อินเดียนั้นมีความมหัศจรรย์อย่างไรนะคะ

ด้วยความเคารพ

โสภนา

อาจารย์โสภนาครับ

ชาวอินเดียในไทยส่วนใหญ่ก้าวข้ามความยากจนเป็นส่วนใหญ่ มีความสามารถเป็นผู้ให้และช่วยสังคมไทยมากมายโดยไม่ต้องตีฆ้อง

เป็นประเด็นที่น่าสนใจครับ

ชาวอินเดียที่อยุ่นอกประเทศมีอยุ่ประมาณ 20 ล้านคนทั่วโลก

ในประเทศไทยเป็นกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจและเป็นเรื่องจริงครับที่ว่าปัจจุบันนี้คนอินเดียในประเทศไทยซึ่งหลายคนเป็นอินเดียที่เป็นไทย มีฐานะที่ดี เป็นพ่อค้าระดับสากลและเป็นซิกห์ซะส่วนใหญ่

ชาวอินเดียไทยกลุ่มนี้กำลังจะกลับไปลงทุนทำธุรกิจในอินเดียครับ

โอกาสหน้าจะเล่าให้ฟังครับ

เจริญสุขนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท