ความปรารถนาที่ต้องการหาสิ่งใหม่ๆ หรือวิธีการใหม่ๆ มาใช้เป็นสื่อในการเรียนรู้ ในระดับตัวตน เริ่มเป็นประเด็นที่หลายคนสนใจ เพราะอะไรน่ะหรือ เหตุผลก็ไม่ซับซ้อนอะไร เป็นเพราะเริ่มเห็นว่า เมื่อเราต้องการนำระบบ หรือเครื่องมือใหม่ๆ ลงมาปฏิบัติในระดับองค์กร มักพบว่าผู้นำเข้ามาคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อบริษัททั้งในปัจจุบันและอนาคต แต่พนักงานผู้ที่ต้องลงมือปฏิบัติ มักคิดว่าตัวเองถูกบังคับให้ทำ บางคนต่อต้านแต่ทำ บางคนไม่ต่อต้านและไม่ทำ บางคนทั้งต่อต้านและไม่ร่วมมือ พร้อมทั้งคอยป่วน
จากเหตุการณ์เหล่านี้ สร้างความหนักใจให้กับทีมที่ต้องลงไปผลักดันเป็นอย่างมาก กลายเป็นกล้วยทับ หรือแซนวิช เพราะโดนทั้งพนักงานท้าทาย และได้รับแรงกดดันจากผู้บริหารว่าทำไมทำแล้วไม่เห็นก้าวหน้าไปถึงไหน แหละนี่เองที่คนทำงานด้านการพัฒนาไม่ว่าจะเป็นระดับองค์กร หรือระดับบุคคล ต่างก็พยายามค้นหาวิธีการที่เหมาะสมกับสไตล์ของคน หรือวัฒนธรรมของบริษัทให้มากที่สุด และสามารถทำให้คนอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อนที่จะไปเปลี่ยนแปลงคนอื่น
เมื่อโจทย์มาเป็นแบบนี้ นักพัฒนาอย่างพวกเราจึงต้องทำตัวให้เป็นสัปปะรด หรือเป็นคนตาเหยี่ยว จมูกมด หูไว ตาไว สรรหาวิธีการใหม่ๆ มาให้ได้ เมื่อหามาได้แล้ว จะเล่นกันแบบดื้อๆ ก็ไม่ได้ แปลงร่างเป็นช่างตัดเสื้อที่ต้องออกแบบและตัดให้มีขนาดเหมาะสมกับลูกค้าของตัวเอง
วันนี้มีโอกาสจึงเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษยปรัชญา จากบริษัทที่ปรึกษาแห่งหนึ่งมาแบ่งปันเรื่องราว และวิธีการที่ใช้ ต้องปูพื้นกันอยู่ประมาณเกือบชั่วโมงเพื่อให้เข้าใจตรงกัน และมองเห็นวิธีการที่สถาบันนี้นำมาใช้ เช่น การใช้ศิลปะด้านดนตรี การระบายสีน้ำ การปั้นดิน และการเคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อสร้างความสมดุลในการทำงาน และการดำเนินชีวิต
เมื่อได้ฟังเรื่องราว สิ่งที่ตรงใจก็คือ จะทำอย่างไรให้พนักงานเห็นว่าเป้าหมายชีวิตของตัวเองกับเป้าหมายขององค์กรต้องไปด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่ง ยอมรับเป้าหมายขององค์กรให้เป็นส่วนหนึ่งในเป้าหมายชีวิตของตัวเอง หรือทำอย่างไรให้คนแต่ละคนมองเห็นศักยภาพของตัวเอง แล้วนำมันออกมาใช้ประโยชน์ให้ได้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ... ต้องรู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ว่า ฉันเป็นใคร ฉันกำลังทำอะไร และฉันอยากจะไปไหน
ทุกวันนี้ได้รับคำถามจากผู้บริหารเสมอว่า การวัดผลด้านการพัฒนาคนนั้นจะวัดอย่างไร ยิ่งเป็นด้าน soft skill ด้วยแล้ว จะวัดด้วยอะไร หรือวัดออกมาเป็นตัวเลขได้ไหม เมื่อเช้าเพิ่งตอบเพื่อนร่วมก๊วนท่านหนึ่งไปว่า เราจะวัดความแข็งของก้อนหิน กับ เต้าหู้ ด้วยเครื่องมือชนิดเดียวกัน หรือวิธีการเดียวกันได้ไหม เรายังคงคิดว่าทุกอย่างต้องวัดออกมาเป็นตัวเลขอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ น่าจะสรรหาวิธีที่สามารถประเมินผลออกมาซึ่งสะท้อนทางอ้อมไปหาตัวเลขแล้วกระดอนไปหาตัวเงิน
*************************************************************************
นั่งคิดเล่นๆ หลังกิจกรรมค่ายสร้างทีมงาน จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ไปเล่าให้น้องๆ ในค่ายฟังว่า พี่จะวัดบรรยากาศในการทำงานของแต่ละหน่วยงานหรือความมีจิตใจบริการ เพียงแค่เดินไปในที่แห่งนั้นแล้วดูว่า แต่ละคนก้มหน้าก้มตาทำงาน เห็นคนต่างหน่วยงานเดินเข้าไปแล้วเงยหน้าขึ้นมาดูไหม ไต่ถามว่ามาหาใคร หรือเสนอความช่วยเหลือหรือไม่ ซึ่งได้เล่าเปรียบเทียบให้ฟัง 2 หน่วยงานที่เคยเจอแล้วเห็นชัดๆ ที่ตรงข้ามกัน บริษัทหลังนี้เมื่อเดินเข้าไปเราจะเขินมาก เพราะหลายคนจะหันมาถามว่าพี่มาหาใคร หรือมีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ/ครับ
เคยเข้าไปติดต่อกับงานที่บริษัทหนึ่งเป็นธุรกิจการเงิน เมื่อเราเดินเข้าไปถามหาพนักงานที่เป็นเลขาของระดับส่วน ปรากฎว่ากว่าจะได้ความว่าเลขาคนนี้นั่งอยู่ตรงไหน ต้องถามต่อกันอีกหลายคน ทั้งที่อยู่ฝ่ายเดียวกันแท้ๆ และเป็นงานด้านการบุคคลด้วยแต่กลับรู้จักกันไม่ทั่วถึง สะท้อนให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของคนในฝ่ายนี้มีน้อยมาก
***********************************************************************
กลับมาเรื่องกิจกรรมที่วิทยากรนำมาให้ทดลองทำ คือการปั้นดินสีแดง แต่เป็นคล้ายดินน้ำมันที่มีคุณภาพดีมากเรียกว่า bee wax ตอนที่ส่งแท่งสี่เหลี่ยมมา แล้วให้ทุกคนบิออกเป็นชิ้นตามต้องการ เจ้าดินนี้แข็งเหนียวมาก แต่เมื่อเราได้ลงมือปั้นและบี้ให้เป็นแผ่นบาง ดินสีแดงนี้ก็มีความยืดหยุ่นและนิ่มลง วิทยากรบอกว่าถ้าผู้ปั้นมือร้อน หรือมีพลังงานในตัวเยอะ จะปั้นแล้วรู้สึกนิ่มมือมาก มิน่าพอเราปั้น ดินสีแดงแทบจะละลาย
ให้พวกเราปั้นดินเป็นรูปสัตว์อะไรก็ได้ ระหว่างปั้นเพลินดีมีภาพเกิดขึ้นในสมอง เสร็จแล้วนำผลงานแต่ละคนมากองรวมกัน จากนั้นแบ่งประเภท และลองเล่าเรื่องราวจากสัตว์ต่างๆ ที่กองอยู่ตรงหน้า
วิทยากรบอกว่าการปั้นดินทำให้เราปลดปล่อยจินตนาการออกมาผ่านมือ สร้างความรู้สึกหนักแน่นขึ้น ดึงเราลงมาให้ติดดิน อยู่กับความเป็นจริง
กิจกรรมที่สองให้ร้องเพลง เป็นเพลงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ชื่อเพลงยามเช้า แต่มีความหมายดี เพราะพูดถึงบรรยากาศตอนเช้า ที่หลายคนเมื่อตื่นเช้าอาจรู้สึกเบื่อชีวิต หรือเบื่อที่ทำงานทำให้ไม่อยากตื่นหรือลุกออกจากเตียง เนื้อเพลงสื่อให้เห็นความงดงามของธรรมชาติ และการรับพลังงานจากดวงอาทิตย์ ปลุกพลังชีวิตขึ้นมา มีเนื้อสั้นๆ แต่เป็นสื่อแทนธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ตอนเริ่มร้อง แต่ละคนเสียงไม่ไปด้วยกัน ระดับเสียงก็เขย่งกันอยู่ วิทยากรบอกว่าการร้องเพลง ต้องมีทักษะการฟังกันด้วย เพราะเราต้องร้องเป็นทีม เมื่อได้รับคำชี้แนะ ทำให้เราร้องเพลงออกมาเป็นเพลงที่ฟังได้ดีขึ้นกว่าตอนแรก
สรุปแล้วแนวคิดมนุษยปรัชญาไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่ต้องหันกลับมาดูแลตัวเองให้สมดุลทั้งทางร่างกาย จิตใจ ความคิด จิตวิญญาณ บริษัทเองก็ไม่ควรเห็นพนักงานเป็นเครื่องจักร ควรให้การดูแลแบบคนเป็นคนที่มีชีวิต จิตใจ การให้ผลตอบแทน การมอบหมายงาน การบริหารงาน ต้องคำนึงถึงด้านจิตใจ มิใช่การครอบด้วยระบบ หรือยึดเขาด้วยผลตอบแทน แต่ควรให้ได้ใจ ด้วยการดูแลความสมดุลของร่างกายและจิตใจของเขาด้วย
ใช่ว่าทุกคนจะรับกับกิจกรรมออกแนวปรัชญาแบบนี้ได้ อะไรเป็นตัวบ่งบอกใครจะรับได้หรือไม่ได้ อายุ หรือ หัวโขน บอกได้หรือป่าว ไม่รู้ก็ต้องพิสูจน์ หาเวทีให้เราทดลอง ไม่ควรรีบด่วนสรุป ว่ามันไม่ใช่ หรือฉันคิดว่ามันไม่ใช่แบบของฉัน
สวัสดีค่ะคุณCitrus
สวัสดีค่ะ คุณสีตะวัน
กิจกรรมเหล่านี้ไม่มีข้อจำกัดเรื่องอายุค่ะ เพราะจากที่วิทยากรเล่าให้ฟัง ผู้บริหารหลายบริษัทเคยเข้าร่วมกิจกรรมเช่นนี้ ถ้าช่วงเปิดรับ ทำได้ดี ก็น่าจะทำให้ผู้เข้าอบรมเข้าใจ และอยากมีส่วนร่วม ยกเว้นบางคนที่อาจจะเปิดยากมากๆ ค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณ Citrus
กิจกรรมดี ๆ แบบนี้ดีมาก ๆ ค่ะ อย่างนี้จะเรียกได้ว่าเป็นคนที่เรียนรู้ตลอดชีวิตตัวจริงเลยค่ะ ไม่กลัวเหนื่อย ไม่กลัวลำบาก สู้ สู้ ต่อไปน๊ะค๊ะ
ผมเคย ใช้ การจัดดอกไม้ วาดสีน้ำ
เรียกว่า ศิลปะชำระใจ
ดูจิต ดูความคิด ไปด้วย
ได้เรียนรู้ความเชื่อมโยงของคนและองค์กร ที่เป้าหมายร่วม...จากบล็อกนี้ค่ะ ขอบคุณค่ะ
สวัสดีค่ะ อ.บุญยงค์
citrus คงเสพติดการเรียนรู้ไปแล้วค่ะ เพราะชอบถ่ายทอดสิ่งที่เรารู้เพื่อช่วยคนอื่น ทำให้เราต้องสรรหาสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลาค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ
สวัสดีค่ะ อ.คนไร้กรอบ
ดีใจมากค่ะ เมื่อเห็นว่า อ.เข้ามาเยี่ยม เหมือนมีแรงดึงดูดจริงๆ เมื่อเช้ายังคิดถึง อ.อยู่เลยค่ะ ต้องเรียนว่ายังไม่ได้ลงลึกในเรื่องที่เขียนในบันทึกนี้ แค่รู้คร่าวๆ แต่ถ้าผ่านวันจัดกิจกรรมจริงๆ แล้ว คงมีเรื่องกลับมาเล่าใหม่ค่ะ จะได้เห็น ได้ฟังความคิดของผู้เข้าร่วมกิจกรรมอื่นๆ ด้วยค่ะ
ศิลปะ คงช่วยเหนี่ยวนำให้เราสัมผัสกับความผ่อนคลายจนคลื่นสมองเป็นอัลฟา หากลึกมากอาจจะทำให้เคลิ้มจนลงถึงระดับจิตใต้สำนึกได้ด้วยมั้งคะ
สวัสดีค่ะ คุณ Paula
ดีใจที่คุณ Paula ก็ทำงานคล้ายๆ กับ citrus คือเป็นนักพัฒนาใช่ไหมคะ หากได้ประโยชน์จากบันทึกต่างๆ ขอยกความดีให้กับครูบา อาจารย์ของ citrus ทุกท่านรวมทั้งเจ้านาย เพื่อนร่วมอุดมการณ์ด้วยค่ะที่สนับสนุน