องค์ประกอบ ๕ ประการของศาสนา คือ
ศาสนพิธี จำแนกได้ ๒ ประการ กล่าวคือ
กรอบความคิดเรื่อง วัฒนธรรม
ศาสนพิธีตามวัฒนธรม ๒ ประการ คือ
การจัดแบ่งศาสนพิธี ๔ หมวด ในหนังสือศาสนพิธี
การกำหนดผิดถูกของศานพิธี ๔ อย่าง คือ
แต่ต้องไม่ขัดแย้งกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา
นมัสการครับ
ขออนุญาตแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรืองของ "พิธีกรรม" ตามที่กำหนดความถูกผิดของศาสนพิธี 4 อย่าง ก็ถือว่าเป็นข้อกำหนดที่ยึดถือกันมาในสังคมไทย
ผมเองไม่ติดใจอะไรหรอกครับ แต่มาติดใจอยู่นิดตรงที่ว่า "เหตุผล" ของพิธีกรรมต่างๆ อย่างน้อย ก็น่าที่จะมีตำตอบว่า เรื่องนี้ ทำไมถึงต้องทำอย่างนี้ ทำอีกอย่างได้หรือไม่ ทำได้เพราะอะไร ทำไม่ได้เพราะอะไร
นั่นคือ บางครั้งเรามักทำตามๆกันมาแบบ "เถรส่องบาตร" โดยมักจะยึดถือกันว่าเป็น "พิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์" จนอาจกลายเป็นศรัทธาอย่างงมงายไป
ตามความคิดเห็นของผม ผมว่าควรที่จะเข้าใจความหมายของพิธีกรรมแต่ละอย่าง ว่ามีความสำคัญอย่างไร มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์อย่างไร
เมื่อทราบความสำคัญ วัตถุประสงค์ และ เป้าหมาย ของพิธีกรรมแต่ละอย่าง แทนที่จะเป็นการศรัทธาแบบไสยศาสตร์ (อำนาจ) ก็พัฒนามาเป็นการศรัทธาแบบพุทธศาสตร์(ปัญญา)
เมื่อเข้าใจพิธีกรรมแต่ละอย่าง เราก็สามารถยืดหยุ่นและประยุกต์พิธีกรรมให้เหมาะกับบริบทได้ โดยไม่เสียหลักธรรม
ช่วยพัฒนาศาสนาด้วยพิธีกรรมโดยไม่เสียหลักการ
ขอบคุณครับ
พิธีกรรม จัดอยู่ใน วัฒนธรรม ซึ่งเบื้องต้นในการบรรยายก็ได้ให้ความเห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างวัฒนธรรมกับปรัชญาว่า...
นั่นคือ พิธีกรรมทั้งหมด จะมีเหตุผลรองรับที่เรียกกันว่าปรัชญาเสมอ เพียงแต่บางอย่างเราไม่รู้เท่านั้น... ขณะที่พิธีกรรมบางอย่างที่ไม่อาจหาเหตุผลรองรับได้แล้วก็จะค่อยๆ เสื่อมสูญสลายไป...
ส่วนที่เราคิดว่าไร้เหตุผลนั้น เพราะเรามิได้สนใจค้นหาหรือสร้างเหตุผลมารองรับนั่นเอง...
การที่ท่านรองฯ. ให้ความเห็นมาตามที่ปรากฎอยู่... ก็บ่งชี้ได้ว่า่ ท่านรองฯ. กำลังสนใจและค้นหาเหตุผลมารองรับพิธีกรรมบางอย่างที่กำลังสนใจอยู่กระมัง !
เจริญพร
นมัสการอีกครั้งครับ
ท่านอาจารย์เดาใจผมได้ถูกครับ ตอนนี้ผมพยายามหาเหคุผลมารองรับพิธรกรรมบางอย่างอยู่
พิธีกรรมบางอย่าง ก็พอหาเหตุผลมารองรับได้ แต่บางอย่างก็มืดสนิท ต้องทำตามๆกันไปก่อน
ผมเคยปรึกษากับผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้อยู่ท่านหนึ่ง ท่านก็เห็นด้วย แต่คงต้องใช้เวลา
ประเด็นที่ท่านรองฯ ว่ามา ก็มีการเถียงกันอีกว่า เหตุผลเกิดก่อนพิธีกรรม หรือพิธีกรรมเกิดก่อนเหตุผล ซึ่งประเด็นนี้เชื่อกันว่า
แต่ เหตุผลบางอย่างเกิดหลังพิธีกรรม นั่นคือ คนคิดหาเหตุผลเพื่อจะให้พิธีกรรมนั้นๆ ดำรงอยู่ ซึ่งเหตุผลที่เกิดหลังพิธีกรรมทำนองนี้ บางอย่างก็สอดคล้องกับเหตุผลเดิมที่รองรับพิธีกรรมนั้นๆ แต่บางอย่างก็เป็นเหตุผลใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุผลเดิมเลย...
นึกถึงความเห็นของ จอห์น สจ๊วต มิลล์ ในความเรียงว่าด้วยเสรีภาพ ทำนองว่า
ในเรื่องพิธีกรรมก็เช่นเดียวกัน ก็อาจนำแนวคิดนี้ไปกล่าวอ้างได้
เจริญพร
นมัสการครับ
แนวคิดที่ท่านอาจารย์เพิ่มเติมมา เป็นประโยชน์มากครับ ในเรื่องของ "เหตุผล"
คงจะต้องขอหยิบยืมนำไปใช้ในการหาเหตุผลมารองรับพิธีกรรมที่ผมกำลังศึกษาอยู่
นมัสการพระคุณเจ้า
ขอบคุณอาหารสมองทั้งสองท่านที่ทำให้เกิดปัญญา
ในเรื่องความเชื่อ และเหตุผล ถ้าไม่ใช้ปัญญา ก็เข้าตำราเรื่องเล่า "สิบหกเป็นจริง"
"เรื่องมีอยู่ว่า มีคนไปยิงหมูเถือนได้หนึ่งตัวหามเข้าหมู่บ้านเขา ชันชี กันว่าถ้าไครถามว่าหามไหร ให้ตอบให้เหมือนกันว่าหามแพะ พบเพื่อนบ้าน 10 คนถามคำถามเดียวกัน คนหามหมูก็ตอบแบบเดียวกัน ผลปรากฎว่าเพื่อนบ้านทั้ง 10 เกิดการลังเลในสิ่งที่เห็น เมื่อไปเล่าให้เพื่อนบ้าน คนที่ 11 ฟัง หมูกลายเป็นแพะ ด้วยประกระฉะนี้////////
อ่านเรื่อง "สิบหกเป็นจริง" ของบัง ทำให้นึกถึงพระบาลีในเกสปุตตสูตรว่า
ส่วนเรื่องเต็มและเรื่องขยายความ คลิกที่นี้
เจริญพร
นมัสการพระอาจารย์
กระผมกำลังศึกษาปริญญาโทพุทธศาสตร์ที่ มมร.ทำสารนิพนธ์เรื่องศาสนพิธีเถรวาทในประเทศไทย ต้องการคำแนะนำเร่ืองเอกสารงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องเพื่อนำมาอ้างอิงงานวิจัย
กระผมมีความสนใจในเร่ืองศาสนพิธีมาก เพราะได้ยินได้ฟังมานานแล้วที่นักวิชาการด้านพุทธศาสนาบอกว่าศาสนพิธีมีส่วนสำคัญในการปกป้องพระศาสนา เปรียบเสมือนเปลือกกระพี้ไม้ปกป้องแก่นไม้ให้คงอยู่มีอายุยืนนัอบร้อยปีเป็นที่อาศัยของฝูงสัตว์น้อยใหญ่และพืชพันธุ์ไม้เล็กๆเหล่าอื่น นักวิชาการเหล่านี้ท่ีอ้างอิงได้คือสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ผู้ทรงเรียบเรียงตำราเรียนพุทธศาสนาทุกระดับชั้นหรือตำราเรียนศาสนพิธีของกรมการศาสนา การที่เราท่านทั้งหลายจะอธิบายเหคุผลรองรับที่มาของศาสนพิธี้นั้น ต้องศึกษาให้ถ่องแท้เสียก่อนที่จะนำไปเผยแผ่ ความคิดเห็นง่ายๆที่ว่าพิธีกรรมไร้สาระแล้วก้าวข้ามขั้นตอนพิธีกรรมไปออกจะตื้นเขินและดูแคลนภูมิปัญญาบุรพาจารย์ของเรามากไป คนที่นำพิธีกรรมไปใช้โดยผิดวัตถุประสงค์เดืมต่างหากที่ควรประณามแม้จะครองสมณเพศก็ตาม ไม่ใช่พิธีกรรม คนเช่นนี้เหมือนปลวกแมลงอาศัยต้นไม้แล้วแทะกินเปลือกกระพี้จนต้นไม้ตายไปในที่สุด เหมือนเมื่อครั้งสังคายนาครั้งท่ี ๓ พ.ศ.๒๓๔ สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชท่ีเดียรถีปลอมบวชจนสงฆ์รังเกียจกันและกันไม่ยอมร่วมสังฆหรรมกัน ศาสนาแทบล่มสลายไป