R2R ไม่ถือการตีพิมพ์เป็นเป้าหมายหลัก ตัวเป้าหมายหลักคือการพัฒนางานและการเรียนรู้ของผู้ปฏิบัติ การตีพิมพ์เป็นผลพลอยได้ แต่คนโลภอย่างผมอยากได้ผลพลอยได้เยอะๆ ด้วย
วันที่ ๒๓ ส.ค. ๕๑ หมอพิเชฐ บัญญัติ เอาของฝากมาให้ ถือมาไกลจากจังหวัดตากโน่น คงเพราะนานๆ เจอกันที จึงเอามาให้เยอะหน่อย ถึง ๕ ชิ้น ของฝากนี้คือการบ้านครับ ให้ช่วยคิด ว่ามีแนวทางยกระดับคุณภาพของผลงานวิจัยตามที่หมอพิเชฐและทีมงานได้ดำเนินการ เก็บข้อมูล และเขียนรายงานตีพิมพ์ไปแล้วในวารสารวิชาการสาธารณสุข อย่างไรบ้าง
พอกลับมาถึงบ้านผมเอาออกมาดู เห็นมีถึง ๕ ชิ้น ผมตกใจนิดหน่อยว่าหมอพิเชฐให้การบ้านมากจัง แต่พอตั้งสติได้ก็นึกขอบคุณ ที่หมอพิเชฐเอาวัตถุดิบสำหรับเขียน บล็อก ใน series R2R มาให้
แต่ต้องออกตัวก่อนว่าการให้ความเห็นนี้คงไม่ค่อยวิชาการเข้มข้น เพราะผมทิ้งวิชาการไปตั้ง ๑๕ ปีแล้ว ไม่คมเพราะสนิมเขรอะหมดแล้ว เพื่อให้ไม่เป็นการวิพากษ์เชิงวิชาการ แต่เป็นการช่วยกันหาทางพัฒนาวิชาการจาก R2R ผมจึงสวมวิญญาณ KM ลปรร. โดยใช้วิธี AAR
บทความแรกที่ผมเอามาพิจารณาคือเรื่อง พิเชฐ บัญญัติ และสุภาภรณ์ บัญญัติ. การพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลบ้านตาก : จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ. วารสารวิชาการสาธารณสุข ๒๕๕๐; ๑๖ : ๔๔๔ – ๔๕๕.
เมื่อพิเคราะห์พิจารณาอย่างมีสมาธิ ผมก็มองเห็นโอกาสทันที ว่าบรรณาธิการวารสาร กองบรรณาธิการ และ reviewer ของวารสารวิชาการที่รับตีพิมพ์บทความ R2R จะมีส่วนช่วยยกระดับการเรียนรู้และคุณภาพของบทความได้อย่างมากมาย โดยผู้เกี่ยวข้องต้องสวมวิญญาณ (Mental Model) เรียนรู้ เน้นการเรียนรู้สำหรับเป็นฐานความรู้ ความสามารถของตนเอง ไม่สวมวิญญาณหวังผลงานแบบเอาง่ายเข้าว่า ไม่ต้องการเสียเวลาเรียน แค่มีผลงานไปเลื่อนตำแหน่งก็พอ
แทนที่จะได้ข้อเสนอต่อหมอพิเชฐ ผมกลับได้ข้อเสนอต่อ ดร. แต้ม และ อ. หมอเชิดชัย ว่าวิธีส่งเสริม R2R น่าจะมีหลายขั้นตอน และขั้นตอนท้ายๆ น่าจะได้แก่การร่วมมือกับวารสารวิชาการที่รับตีพิมพ์ผลงาน R2R ว่าวารสารจะมีบทบาทยกระดับคุณภาพทาง วิชาการของผลงาน R2R ได้อย่างไร วารสารจะตีพิมพ์ผลงาน R2R แบบมีคุณภาพ ทำให้วารสารเองก็ได้ชื่อว่า มีคุณภาพ ได้อย่างไร ดังนั้นการสัมมนา บก., กอง บก. และ reviewer ของวารสารน่าจะ เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ สวรส. พิจารณาดำเนินการ โดยต้องคิดวางแผนให้ละเอียด
ผมมองการตีพิมพ์เป็นการต่อยอดความรู้ เมื่อเห็นชื่อเรื่อง “การพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลบ้านตาก …” ผมก็ถามตัวเองว่าถ้าผมเป็นผู้เขียนเรื่องทำนองนี้ ผมจะค้นเรื่องทำนองนี้มาอภิปรายเปรียบเทียบเพื่อต่อยอดความรู้อย่างไร ผมพลิกไปดูที่ รายการเอกสารอ้างอิงเพื่อหาว่ามีการอ้างถึงรายงานการพัฒนาคุณภาพของโรงพยาบาลอื่นบ้างไหม พบว่าไม่มี ซึ่งก็ตีความได้ ๒ อย่าง คือไม่เคยมีคนเขียนรายานเรื่องราวของการพัฒนาคุณภาพของโรงพยาบาลใดๆ ในประเทศไทย ไว้ในวารสารวิชาการเลย หรืออาจเป็นเพราะผู้เขียนไม่ได้ค้นเอามาศึกษาเปรียบเทียบ
ผมมองว่าการที่บทความตีพิมพ์ขาดการค้นเรื่องที่มีการตีพิมพ์ไว้แล้ว เอามาต่อยอดความรู้นี้เป็นจุดอ่อนที่สุดอย่างหนึ่งของวงวิชาการไทย วารสารวิชาการที่ไม่เอาใจใส่เรื่องนี้เป็นวารสารวิชาการที่ด้อยคุณภาพในสายตาของผม
สมัยที่ผมทำงานวิชาการ และอ่านวารสารวิชาการนานาชาติอย่างเอาเป็นเอาตาย (คือเมื่อ ๑๕ ปีที่แล้วย้อนหลัง) นั้น ผมสนุกกับการ “อ่านวารสารย้อนหลัง” เพื่อสร้างความรู้ที่หนักแน่น รู้ที่มาที่ไปของเรื่องนั้น ทำให้เราเข้าใจพัฒนาการและช่องโหว่ของความรู้ เป็นโอกาสในการสร้างความรู้ขึ้นอุดช่องโหว่นั้น หรือสร้างความรู้ใหม่หนีจาก mental model เดิมๆ (ซึ่งผมไม่เก่งถึงขนาดนั้น)
การ “อ่านวารสารย้อนหลัง” หมายถึงการอ่านรายชื่อ reference จากเรื่องที่เราอ่าน แล้วไปค้นวารสารใน reference มาอ่านด้วยตัวของเราเอง ตีความเอง ไม่ใช่เชื่อตามการตีความของผู้เขียนที่เอามาอ้างอิง การอ่านวารสารแบบนี้สนุกและประเทืองปัญญามากสำหรับผม ผมยังนึกเสียดายชีวิตนักวิชาการแบบนั้นอยู่จนทุกวันนี้
วารสารวิชาการนานาชาติชั้นดี จะให้คุณค่าแบบนี้มาก แต่วารสารวิชาการบ้านเราขาดมิตินี้ตลอดมา ผมจึงคิดว่า โครงการ R2R ประเทศไทยน่าจะเป็นผู้สร้างความเข้มแข็งทางวิชาการของวารสารวิชาการด้านการต่อยอดความรู้ในบ้านเราได้ ยิ่งมี TCI แล้วยิ่งมีโอกาสทำงานนี้ได้ง่ายขึ้น
ผมคิดว่าผมได้ตอบคำถามของหมอพิเชฐ ที่บอกผมว่า “ขอให้ช่วยแนะนำให้พัฒนาคุณภาพของผลงานวิจัยตีพิมพ์” ด้วยนะครับ
วิจารณ์ พานิช
๒๔ ส.ค. ๕๑
สวัสดีครับ
นี่คือคำตอบที่ผมต้องการครับ ยอมรับว่าจุดอ่อนนี้เป็นสิ่งที่ผมกับทีมต้องพัฒนา ปัญหาประการหนึ่งคือการค้นคว้าเอกสารวิจัยย้อนหลังของเมืองไทยยังทำได้จำกัดมาก หากมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่รวบรวมขุมทรัพย์งานวิจัยเหล่านี้ให้สามารถเข้าถึงง่าย ค้นคว้าง่าย จะช่วยให้ผู้เขียนนำมาอ่านและต่อยอดการทำงานวิจัยต่อไปได้ครับ
ประการที่สอง งานวิจัยของไทยที่เกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพเองก็มีไม่มาก
งานวิจัยชิ้นนี้เขียนและตีพิมพ์ก่อนที่ผมจะไปเรียนเบลเยียม แนวความคิดเรื่องการทบทวนวรรณกรรมของผมเองตอนนั้นก็ค่อนข้างคับแคบมาก แต่พอได้ไปเรียนที่เบลเยียมเห็นการทำงานวิชาการของอาจารย์ที่โน่นแล้ว ทำให้เห็นถึงความสำคัญของการทบทวนวรรณกรรมเพื่อมาBack upและต่อยอดงานวิจัยได้ชัดเจนมาก
วารสารวิชาการสาธารณสุข มีกองบรรณาธิการที่ช่วยปรับแก้ไขอย่างกัลยาณมิตรทำให้ผมและคณะได้เรียนรู้วิธีการเขียนงานวิจัยได้ดีมาก ดีกว่าอ่านตำราการวิจัย เป็นLearning by doing ทีดีมาก
ขอบพระคุณมากครับ