ระบบการศึกษาในประเทศไทย
ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ 2542 ได้กำหนดการศึกษาในประเทศไทยออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่
1.การศึกษาในระบบ
2.การศึกษานอกระบบ
3.การศึกษาตามอัธยาศัย
ส่วนการศึกษาในระดับปฐมวัยนั้นสามารถจัดการเรียนการสอนได้ทั้งสามระบบ โดยมีหน่วยงานที่รับผิดชอบอยู่หลายหน่วยงาน โดยมีโครงสร้างดังนี้
โครงสร้างของระบบการศึกษาปฐมวัย
1. ศูนย์เด็กเล็กหรือสถานรับเลี้ยงเด็ก (Day Care Center / Nursery ) รับวัยแรกเกิด ถึง 3 ปี
หน่วยงานที่รับผิดชอบได้แก่ กระทรวงมหาดไทย / กระทรวงสาธารณสุข / กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงศึกษาธิการ จัดขึ้นเพื่อบริการครอบครัวที่ไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้ ซึ่งการเลี้ยงดูจะใช้ระบบครอบครัว โดยแม่บ้านที่ได้รับการฝึกอบรมในหลักสูตรการดูแลเด็ก หรือครูที่จบการศึกษาสาขาการศึกษาปฐมวัย
ศูนย์เด็กเล็กหรือสถานรับเลี้ยงเด็ก (Day Care Center / Nursery) ของภาคเอกชนในประเทศไทย จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ
2. โรงเรียนอนุบาล (Kindergarten ) วัย 3- 5 ปี
การศึกษาชั้นอนุบาลในประเทศไทยมีหลายหน่วยงานที่จัดการศึกษา เช่น องค์กรการบริหารส่วนท้องถิ่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณะสุข และภาคเอกชน สำหรับภาครัฐที่จัดการศึกษาระดับปฐมวัยจะรับเด็กวัย 4 – 5 ปี ส่วนในภาคเอกชนจะรับเด็กวัย 3-5 ปี และจะได้รับเงินสนับสนุนบางส่วนจากทางภาครัฐ โดยทั้งสอบหน่วยงานจะจัดการศึกษาโดยแบ่งเป็นระดับดังนี้
ภาครัฐบาลแบ่งเป็น 2 ระดับ
อนุบาลปีที่ 1 นักเรียนอายุ 4 ปี
อนุบาลปีที่ 2 นักเรียนอายุ 5 ปี
ภาคเอกชน แบ่งเป็น 3 ระดับ
อนุบาลปีที่ 1 รับนักเรียนอายุ 3 ปี
อนุบาลปีที่ 2 รับนักเรียนอายุ 4 ปี
อนุบาลปีที่ 3 รับนักเรียนอายุ 5 ปี
หลังจากจบการศึกษาในระดับอนุบาลแล้วเด็กจะเข้าสู่ระดับประถมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งถือว่าเป็นการศึกษา ภาคบังคับ ซึ่งรัฐให้เงินสนับสนุน
ครูอนุบาลทุกคนจะต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนด และในทุกชุมชนจะมีสถานรับเลี้ยงเด็ก และโรงเรียนอนุบาล ในการจัดการเรียนการสอนระดับอนุบาลทางกระทรวงศึกษาธิการจะกำหนดหลักสูตรแกนกลางเพื่อให้แต่ละโรงเรียนยึดเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนภายในโรงเรียนแต่ละแห่ง
การศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ
เด็กทารกจะได้รับการตรวจเช็ดพัฒนาการจากแพทย์ผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นหน่วยงานของกระทรวงสาธารณะสุข หากพบว่าเด็กมีความบกพร่องในพัฒนาการก็จะให้การบำบัดช่วยเหลือร่วมกับผู้ปกครองของเด็ก หรือส่งยังศูนย์บำบัดเฉพาะ
การศึกษาพิเศษในประเทศไทย
เด็กที่มีความต้องการพิเศษ ในประเทศไทยมีหน่วยงานที่รับผิดชอบ และช่วยเหลือเด็กในกรณีที่เด็กต้องได้รับการบำบัด จากโรงพยาบาลที่มีหน้าที่และมีผู้เชี่ยวชาญดูแลตลอด และหน่วยงานของเอกชน
ในประเทศไทย พ่อ แม่ (ผู้ปกครอง) มีส่วนการตัดสินใจในเรื่องการบำบัดรักษา และการให้การศึกษาแก่เด็กเหล่านี้ โดยอาจแบ่งเป็น
1. ให้การศึกษาภาคพิเศษอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีผู้เชี่ยวชาญดูแลตลอดเวลา
2. ให้การศึกษาภาคปกติ โดยมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางช่วยเหลือบ้าง
3. ให้การศึกษาแบบเรียนร่วมกับเด็กปกติในโรงเรียน
การฝึกหัดครูที่สอนเด็กปฐมวัย
ครูอนุบาลจะเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย ทั่วประเทศที่เปิดสอนสาขาการศึกษาปฐมวัย หรือการศึกษาพิเศษ เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยจะใช้เวลาเรียนทั้งหมด 4 ปี และเข้าฝึกงานในโรงเรียนอนุบาล 1 ปี จึงจะได้รับปริญญาตรี และถือว่าจบหลักสูตร
ปรัชญาการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย
การศึกษาปฐมวัยเป็นการพัฒนาเด็ก ตั้งแต่แรกเกิดถึง 5 ปี 11 เดือน 29 วัน บนพื้นฐานการอบรมเลี้ยงดู และการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติ และพัฒนาการของเด็กแต่ละคนตามศักยภาพ ภายใต้บริบทสังคม วัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ด้วยความรัก ความเอื้ออาทร และความเข้าใจของทุกคน เพื่อสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เกิดคุณค่าของตนเอง และสังคม
การจัดการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย
ในประเทศเปิดโอกาสให้ชุมชน และครอบครัวมีส่วนร่วมในการร่วมวางแผนในการจัดการศึกษา เพื่อมุ่งเน้นให้เด็กได้เกิดการเรียนรู้และศักยภาพสูงสุด ( แผนผัง)
ปัญหาและอุปสรรคของการศึกษาปฐมวัยในประเทศไทย
1. ครูผู้สอนยังไม่เข้าใจในนวัตกรรมการศึกษาปฐมวัย
2. งบประมาณที่สนับสนุนสื่อ สื่อสร้างสรรค์ และอุปกรณ์การเรียนการสอนสำหรับเด็กปฐมวัยมีจำกัด
3. พ่อแม่ ผู้ปกครองยังไม่เข้าใจเรื่องการพัฒนาเด็กปฐมวัยที่เหมาะสม
4. ครูผู้สอนยังขาดการอบรมและให้ความรู้ทางด้านการศึกษาปฐมวัยอย่างต่อเนื่อง
5. การประสานความเข้าใจระหว่างบ้านและโรงเรียน
ทิศทางและแนวโน้มของการศึกษาปฐมวัย
1. จัดทำนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาเด็กปฐมวัยขึ้นเพื่อเป็นแนวทางการพัฒนา โดยยุทธศาสตร์หลัก 3 ข้อ
a. ยุทธศาสตร์การส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย
b. ยุทธศาสตร์การส่งเสริมพ่อ – แม่ และผู้เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย
c. ยุทธศาสตร์การส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาเด็กปฐมวัย
2. เน้นการศึกษาที่จะพัฒนาเด็กในทุกด้าน ( สติปัญญา อารมณ์ สังคม จิตใจ ร่างกาย) ตามแนวคิด Brain – Based Learning
3. เตรียมเด็กให้พร้อมในด้านการใช้ภาษาที่สอง และเน้นกระบวนการคิด การแก้ปัญหา อันนำไปสู่กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และบูรณาการการใช้ชีวิตที่พอเพียงตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
4. ผู้ปกครองมีส่วนส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาของเด็ก
5. ครูเป็นผู้อำนวยความสะดวก และผู้จัดประสบการณ์การเรียนรู้แก่เด็ก ( Child Center)
6. ตั้งองค์กรที่รับผิดชอบงานเด็กปฐมวัย
7. ส่งเสริมสนับสนุนให้มีการจัดการศึกษา การวิจัยและพัฒนา และการพัฒนาองค์ความรู้เรื่องเด็กปฐมวัย
มาตรฐานแห่งชาติสำหรับการจัดการศึกษาในโรงเรียนอนุบาลประเทศญี่ปุ่น
(National Curriculum Standards for Kindergarten of Japan)
1. หลักการพื้นฐานของการจัดการศึกษาในระดับอนุบาล
หลักการพื้นฐานของการจัดการศึกษาในระดับอนุบาล คือ การให้การศึกษาโดยคำนึงถึง สภาพแวดล้อม และลักษณะพิเศษของวัยเด็ก เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดเอาไว้ในมาตรา 77 ของพระราชบัญญัติการศึกษาในโรงเรียน ( School Education Law) ดังนั้น ครูผู้สอนต้องสร้างความเชื่อมั่น และไว้วางใจอย่างเพียงพอแก่เด็ก และสร้างสภาพแวดล้อมทางการศึกษาที่เหมาะสมพร้อม ๆ ไปกับเด็ก ในการจัดการศึกษาจะต้องยืนอยู่บนหลักการเหล่านี้ และให้ความสำคัญกับประเด็นดังต่อไปนี้
1) ส่งเสริมให้เด็กทำกิจกรรมด้วยตนเองและให้เด็กได้พัฒนา การใช้ชีวิตที่เหมาะสมกับวัยเด็ก โดยคำนึงถึงว่าเด็กจะได้รับประสบการณ์ที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาการ โดยผ่านการแสดงออกอย่างที่ภายใต้สภาวะแวดล้อมทางด้านอารมณ์ที่มีความมั่นคง
2) เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไหว้ในบทที่ 2 อย่างสมบูรณ์ การเรียนการสอนจะสอนโดยผ่านการเล่นเป็นหลัก โดยคำนึงว่าการเล่น เป็นกิจกรรมที่เด็กทำด้วยตนเอง ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของการเรียนรู้ และจะเป็นการสร้างพื้นฐานการพัฒนาการอย่างสมดุลย์ของร่างกายและจิตใจ
3) ดำเนินการสอนให้เหมาะกับพัฒนาการของปัญหา และให้สอดคล้องกับลักษณะพิเศษของเด็กแต่ละคน โดยคำนึงว่าการพัฒนากในวัยเด็กเกิดขึ้น โดยผ่านกระบวนการที่หลากหลาย ผ่านความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในหลายมิติของร่างกายและจิตใจ นอกจากนี้เด็กแต่ละคนที่ผ่านประสบการณ์ในชีวิตที่แตกต่างกัน
ในกรณีดังกล่าว สภาพแวดล้อมควรที่จะสร้างขึ้น ด้วยต้อมีวัตถุประสงค์ที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ทำกิจกรรมด้วยตนเอง และมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างเด็กกับเด็ก โดยยืนอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจ และการคาดการณ์ในพฤติกรรมของเด็กแต่ละคน ต้องสร้างสภาพแวดล้อมอย่างมีแบบแผน ดังนั้นครูผู้สอนจะต้องสร้างสภาพแวดล้อมทั้งที่เป็นกายภาพ และบรรยากาศ โดยให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ระหว่าเด็กบุคคลอื่น และอุปกรณ์นอกจากนั้นครูผู้สอนต้องแสดงบทบาทที่หลากหลาย เพื่อที่จะสามารถตอบสนองกิจกรรมของเด็กแต่ละคน และต้องพัฒนากิจกรรมนั้นให้ดีขึ้น
2. เป้าหมายของการศึกษาในระดับอนุบาล
การศึกษาในช่วงเด็กอนุบาลมีความสำคัญมากในแง่ที่จะเป็นการวางรากฐานของการสร้างบุคลิกภาพที่จะติดตัวไปตลอดชีวิต การให้การศึกษาในช่วงนี้ต้องต้องกระทำควบคู่ไปกับการประสานความร่วมมือกับทางครอบครัวของเด็กอย่างใกล้ชิด โรงเรียนอนุบาลมีหน้าที่จะพัฒนาฐานพลังในการดำรงชีวิตของเด็ก โดยให้เด็กได้รับผ่านช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตในโรงเรียนอนุบาล เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโรงเรียนอนุบาลตามที่ พระราชบัญญัติการศึกษา มาตรา 78 รวมถึงต้องสอดคล้องกับข้อกำหนดที่ได้กำหนดไหว้ในหลักการพื้นฐานของการจัดการศึกษาในระดับอนุบาล
1) สร้างพื้นฐานของกายและใจให้สมบูรณ์ โดยให้การศึกษาเกี่ยวกับการแสดงออกและขนบธรรมเนียมอันเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิตให้มีความสุข มีความปลอดภัย และสุขภาพที่แข็งแรง
2) สอนให้มีทัศนะคติในการพึ่งตนเองและการร่วมมือกัน รวมทั้งการปลูกฝังเรื่องศีลธรรมโดยผ่านความรัก และความเชื่อใจในบุคคลอื่น
3) ปลูกฝังให้มีความสนใจในภาษา และรู้สึกสนุกสนานกับการพูดและการฟัง โดยผ่านความสนใจ และความสงสัยในภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
4) ปลูกฝังความสามารถในการคิดและเพิ่มพูน การแสดงความรู้สึก โดยผ่านกระบวนการสร้างความใส่ใจและความสนใจกับธรรมชาติรอบ ๆ ตัว
5) ปลูกฝังให้มีความคิดสร้างสรรค์โดยผ่านการพัฒนาความรู้สึกจากประสบการณ์หลากหลาย
3. การวางหลักสูตรการศึกษา
โรงเรียนอนุบาลแต่ละแห่งควรมีเอกลักษณ์ของตัวเอง และวางหลักสูตรการศึกษาที่เหมาะสมกับพัฒนาการทั้งทางร่างกายและจิตใจของเด็ก รวมทั้งวางหลักสูตรให้เหมาะสมกับสภาพของโรงเรียนอนุบาล และชุมชนท้องถิ่น ทั้งนี้ให้ดำเนินการตามกฎหมายและมาตรฐานแห่งชาติสำหรับการจัดการศึกษาในโรงเรียนอนุบาล
1) โรงเรียนอนุบาลต้องพัฒนาเปาหมายที่เป็นรูปธรรม และมีเนื้อหาที่คำนึงถึงระยะเวลาการให้การศึกษา ประสบการณ์ของเด็ก และขั้นตอนพัฒนาการของเด็ก เพื่อที่จะให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนไว้บทที่ 2 โดยผ่านการใช้ชีวิตอนุบาล
ขอบคุณนะคะ