เครือข่ายผู้บริโภคกับผลิตภัณฑ์ของคนรากหญ้า เวอร์ชั่น 2(ตอนที่1)


คุ้มครองผู้บริโภค อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ปลอดสารเคมี สัมพันธไมตรีระดับสากล

       การสานต่อเชื่อมโยงกิจกรรม งานสร้างเครือข่ายผู้บริโภคกล้วยหอมทองในประเทศญี่ปุ่น ภาระกิจที่ ทั้งหนัก ทั้งสนุก และให้ความรู้สึกดีๆแก่ชีวิต ช่างประทับใจสุดยอดจริงๆ  การส่งออกกล้วยหอมทอง ของกลุ่มเกษตรกรทำสวนทุ่งคาวัด อำเภอละแม จังหวัดชุมพร   เริ่มต้นตั้งแต่ปลายปี 2537 -จนถึงปลายปี 2539 เป็นเวลาเกือบ 2 ปีเต็ม  แม้ว่าการตลาด จะดูสดใส แต่ภาระกิจในการจัดการให้ผลิตภัณฑ์ ได้มาตรฐาน มีคุณภาพ และปริมาณครบตามที่ผู้บริโภคต้องการ มันแสนยากยิ่ง   กรรมการบริหารต้องรับภาระที่หนักอึ้ง  ปัญหาที่ไม่คาดคิดมีมากมายหลายประการ เช่นภาวะภัยแล้ง การตัดราคาของพ่อค้าภายนอกที่ไปจ้องรับซื้อโดยให้ราคาที่สูงกว่า  การลักลอบใช้สารเคมี เช่นสมาขิกลักลอบใช้ยากำจัดวัชชพืชในบางแปลง  กรรมการต้องติดตามสอดส่องและทำความเข้าใจและแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจัง  แต่ปัญหาอื่นใดยังไม่หนักหนาสาหัสเท่ากับการขาดสภาพคล่องทางการเงิน  คณะกรรมการชุดแรกหลายๆท่านถึงกับถอดใจไม่สามารถแบกรับภาระหน้าที่อีกต่อไปได้  เพราะภาระของครอบครัวก็หนักอึ้งอยู่แล้ว     ช่วงแรกๆเราต้องใช้เงินทุนมาก  ทั้งทุนในการก่อสร้างโรงงาน  การซื้อที่ดินเพื่อเป็นกรรมสิทธิ์ของกลุ่ม  เราต้องไปกู้เงินจากสถาบันการเงินเพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่อง  สถาบันการเงินขณะนั้น ที่อนุมัติเงินให้เรากู้ เป็นธนาคารแรกก็คือธนาคารออมสิน   ทางธนาคารยินยอมให้กู้มาเพื่อใช้ในการ เพิ่มเติมงบประมาณที่เรามีอยู่แล้ว ให้เพียงพอในการจัดซื้อที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของกลุ่ม   หลายๆครั้งคณะกรรมการต้องเจียดเงินส่วนตัวเป็นค่าใช้จ่ายในการประสานงาน   ช่วงเวลานั้น ทางกลุ่มมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับปรุงระบบโรงงาน  เพื่อลดภาวะการเน่าเสีย การเกิดเชื้อรา หรือการดำเนินการให้เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจแมลงได้ตรวจตราอย่างเข้มข้น ละเอียดละออมากขึ้นกว่าเดิม      

         ขณะนั้นเป็นช่วงปีที่เศรษฐกิจฟองสบู่แตก   แต่ถึงอย่างไร  พวกเราทุกคนต้องช่วยกันอย่างเต็มที่ในการแสวงหาวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อฝ่าฟันวิกฤตให้ได้

          ผมได้รับมอบหมายเป็นกรณีพิเศษจากคณะกรรมการกลุ่มและบริษัทผู้ประสานงาน ให้เดินทางไปปฏิบัติภาระกิจ ขอความช่วยเหลือ ด้านการเงินจากสมาชิกเครือข่ายผู้บริโภคกล้วยหอมทองที่ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 1- 8 ตุลาคม ปีพ.ศ.2539    ขณะนั้นผมปฏิบัติราชการอยู่ที่โรงพยาบาลไชยา  ในฐานะที่เป็นสมาชิกกลุ่มและกรรมการที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการ ผมได้พยายามขออนุญาติผู้อำนวยการเพื่อไปช่วยกิจกรรมกลุ่มอยู่เสมอ  โดยแจ้งให้ท่านผู้อำนวยการได้ทราบว่ามันเป็นงานภาระกิจ ที่น่าสนใจและท้าทายความสามารถ   หากคิดให้ดีและคิดอย่างถี่ถ้วนอย่างไม่มีอคติ แล้ว  เราจะมองเห็นว่าภาระกิจเหล่านี้เป็นงานสร้างเสริมระบบสุขภาพและงานควบคุมป้องกันโรคโดยตรง  ผู้อำนวยการท่านเข้าใจและให้การสนับสนุนเป็นอย่างดียิ่ง   จึงทำให้เกิดบันทึกนี้ขึ้น และนำมาเขียนบอกกล่าวเล่าขานให้ท่านได้อ่านกันเล่นๆ อีกครั้ง  

       1 ตุลาคม 2539 เวลา 11.37 น. ออกเดินทางจากสถานีรถไฟอำเภอไชยา โดยรถดีเซลรางสุราษฎร์ธานี-กรุงเทพฯ ถึงสถานีรถไฟสามเสน 19.40 น. โทรศัพท์แจ้งให้คุณจุล โคยาม่าทราบว่า เดินทางถึงกรุงเทพแล้วและจะไปพักค้างคืนที่โรงแรมประดิพัฒน์ รุ่งเช้าคุณมารูซิม่าซึ่งจะทำหน้าที่พาผมไปญี่ปุ่นในครั้งนั้นได้มารับที่โรงแรม เวลา 09.00 น. ผมถือโอกาสเดินเที่ยวเตร็ดเตร่อยู่ตามริมถนนสีลม  แวะหาหนังสืออ่านตามร้านหนังสือ  แล้วกลับมานั่งคุยกับคุณจุลถึงเรื่องภาระกิจที่ต้องไปปฏิบัติเพื่อทำการบ้านไว้ล่วงหน้า  เราเช็คเอ้าได้เที่ยวบินที่ 722 y ที่นั่งธรรมดาสูบบุหรี่ได้ จนกระทั่งเวลา 24.30 น. การเดินทางจึงเริ่มต้น เครื่องบินทยานสู่ท้องฟ้า กระเทือนเหมือนเรือถูกคลื่นลูกโตๆ ในท้องทะเล ผมอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ และฟังรายงานอากาศอยู่ตลอดเวลา เพราะรู้ตัวเองว่าต้องเดินทางไปประเทศญี่ป่น  เครื่องบินตกหลุมอากาศครั้งใด รู้สึกเสียวใต้สะดือ  วูบวู บ วาบวาบ รู้สึกเครียด ต้องนั่งรำลึกถึงสิ่งที่เป็นมงคลต่างๆเพื่อให้งีบหลับ แต่ก็ไม่สามารถข่มตาหลับลงไปได้   กระทั่งแอร์โฮสเตสเดินผ่านมาไกล้ๆ  ตัดสินใจขอไวน์แดงมาจิบ เล่นๆ 2 แก้วเต็ม ทำให้ มึน และวูบหลับไปได้  รู้สึกตัวอีกครั้งเห็นลำแสงวาบๆ สาดส่องเข้ามาจึงรู้ว่ารุ่งเช้าแล้ว  เครื่องบินร่อนลงสู่สนามบินนาริตะอย่างนิ่มนวล  ผมถูกซักถามจากเจ้าหน้าที่อีกเช่นเคย แต่ก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เลยเกิดปัญหาอีกระลอก  มารูซิม่าหันมาเห็นเข้ารีบวิ่งตรงเข้ามาพูดจากับพนักงานตรวจคนเข้าเมือง จึงได้รับการปล่อยตัวให้เข้าไปได้  คุณมารูซิม่าบอกว่า เขาไม่ผ่านให้เพราะ ในหนังสือเดินทางไม่มีลายเซนต์รับรองจากทางบริษัท มีแต่ชื่อบริษัทเฉยๆ เขากลัวว่าคนไทยเข้าไปในญี่ปุ่นแล้วไม่ยอมกลับ  แล้วคนไทยชอบที่จะหลบหนีไปทำงานตามเมืองต่างๆ  ผมเลยคิดว่าก็จริงของเขาเหตุการเหล่านั้นมันเป็นเรื่องธั้มดา ธัมดา

            วันนั้นเป็นรุ่งเช้าวันที่ 3 ตุลาคม 2539  เวลา 07.00 น.  บริเวณที่จอดรถด้านหน้าสนามบิน เรายืนรออยู่ประมาณ ครึ่งชั่วโมง ยามาโมโต้  ขับรถเก๋งคันงามมาถึง  เมื่อเขาเปิดประตูรถลงมา ผมโค้งให้และกล่าวคำว่า โอฮะโย โกซัยอิมัสซึ แต่พี่โต้แกยกมือไหว้ผม และกล่าวคำว่าสวัสดี  ทักทายกันเล็กน้อยผมกับมารูซิม่า ก็นำสัมภาระใส่ท้ายรถคันงาม   พี่โต้ออกรถช้าๆมุ่งหน้าสู่ย่านชินจิกุ มหานครโตเกียว  ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็เดินทางไปถึงอาคารโตโย เราขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นที่ 3 ของอาคาร  เป็นสำนักงานของบริษัทแปซิฟิคเทรดแจแปน ผมรู้สึกง่วงนอนเป็นอย่างมาก เพราะการเดินทางมาราธอนจากการรอเครื่อบินถึงเที่ยงคืน  นั่งหลับๆตื่นๆจากทัศนวิสัยที่ไม่ค่อยดีบนเครื่องบิน  ความรู้สึกในใจ อยากจะหาที่เอนหลังสักครึ่งชั่วโมงแต่ไม่เป็นไปตามที่คาดคิดคาดหมาย   เพราะพี่โต้ แกเข้ามาถามว่า โอภาส เหนื่อยไหม ผมพยักหน้า แต่แกกลับพูดเหมือนสั่งการ  คุณต้องทำงานเลยนะวันนี้มีโปรแกรมทั้งวัน  ตอนค่ำปฏิบัตงานเสร็จแล้ว เราจะไปพบกันที่ร้านอาหารไทย  ผมรีบนำแปรงสีฟันเข้าห้องน้ำของสำนักงาน  ช่วยเหลือตัวเองอย่างเร่งด่วน ล้างหน้า ล้างตา พยายามจัดการกับถุงเท้าและเท้าที่เริ่มมีกลิ่นเพราะการสวมใส่ไว้ยาวนาน คุณมารูซิม่าเห็นผมเข้าไปอยู่ในห้องน้ำนานผิดปกติ เลยเคาะประตูเรียกด้วยความเป็นห่วง แล้วตะโกนถามว่าคุณไม่สบายหรือเปล่า ผมตอบออกไปว่ากำลังจัดการกับตัวเองไม่มีอะไรหรอกขอเวลาหน่อยก็แล้วกัน

       เสร็จภาระกิจจากห้องน้ำออกมานั่งที่โต้ะรับแขกภายในสำนักงาน  ได้พบกับคุณฮิโรชิ ผู้จัดการทั่วไปของสหกรณ์ไฮจิมารอคุยด้วย ก็เลยรู้ว่าทำใมคุณมารูซิม่าจึงได้เร่งรีบเรียก   คุณมารูซิม่ารับหน้าที่เป็นล่ามแปลให้ฟังแต่ก็เหมือนกับสุดความสามารถ เพราะแกหาคำอธิบายให้ตรงประเด็นที่ต้องการคุยแทบไม่ได้เลย แกต้องแก้เขินให้ตัวเองด้วยการยกมือตีบนศรีษะตัวเองอยู่ตลอดเวลา  ผมมองเห็นลีลาท่าทาง ผนวกกับสีหน้าของแกแล้วอดขำไม่ได้เผลอหัวเราะออกมาดังๆอย่างลืมตัว  ทำเอาทั้งคุณคิชิ และคุณฮิโรชิมองมาที่ผมด้วยสายตาเลิ่กลัก คงคิดว่าคุณมารูซิม่าแปลญี่ปุ่นเป็นไทยเพี้ยนไปหรือเปล่า เขาคุยเรื่องการเรื่องงานแล้วพ่อล่ามรูปหล่อคงจะแปลให้เป็นเรื่องตลก   ผมรีบหุบปากทันที หันไปมองคุณมารูซิม่าอีกครั้ง เห็นสีหน้าของแกแล้ว ดูเหมือนกับแกกำลังปวดท้องฉี่อย่างแรง

         หลังจากคุยกันประมาณ 10 นาทีคุณฮิโรชิก็ลากลับไป  ยามาโมโต้ กับคุณคิชิ  ขับรถไปส่งที่โรงแรมวอชิงตัน โรงแรมเดิมที่เคยเข้าพักเมื่อคราวที่แล้ว  เข้าพักบนชั้นที่ 23 ห้องหมายเลข 30(2330)  ทั้งยามาโมโต้และคิชิขึ้นไปส่งที่ห้อง  แล้วก็ชวนไปกินอาหารกลางวัน ผมบอกว่า จะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ร่างกายมันอึดอัดเหลือเกิน ขอตัวไปอาบน้ำก่อนเถอะ  แกจึงขอตัวลงไปรอที่ห้องอาหาร ไกล้ลอบบี้ ของโรงแรม  ผมอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยค่อยกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอีกครั้ง เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็เดินลงไปยังห้องอาหาร คุณมารูซิม่า สั่งสลัดญี่ปุ่นเป็นอาหารจานเดียว 2 ชุด เราก้มหน้าก้มตากินกันอย่างเอร็ดอร่อยเพราะความหิว  เมื่ออิ่มแล้วคุณยามาโมโต้ขอตัวไปทำงาน   คุณคิชิ  ผม และมารูซิม่า นั่งรถเก๋งไปยังสหกรณ์โยชิบุ จังหวัดโตชิกิ  คุณคิชิขับรถไปเรื่อยๆ ผมกับมารูซิม่า นั่งสัปหงกแข่งกัน  ไปถึงที่หมายคุณคิชิขับรถวนไปวนมาหลายเที่ยว  เพราะโดยส่วนตัวแกไปครั้งนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน  ผมคิดว่าถ้าเป็นบ้านเราคงจอดรถถามเพื่อให้หายสงสัย แต่คุณคิชิแกใช้โทรศัพท์ สอบถาม ผลลัพท์ก็ยังไม่รู้เรื่องอยู่ดี  ผมแอบดูลีลาของแก สุดท้ายมันก็อีหรอบเดียวนั่นแหละ คือต้องจำใจเดินไปถามชาวบ้านแถวนั้น และเพียงคำถามเดียว ก็รู้เรื่องทันที  เพราะสถานที่ที่เป็นเป้าหมายการเดินทางอยู่ตรงฝั่งถนนข้างหน้าเรานั่นเอง  เมื่อเขาชี้มือไป คุณคิชิก็ส่งเสียงร้องครางดังฮือ  หันไปกล่าวขอบคุณ ผมคิดในใจว่า เฮ้อแกเต้ะท่าเหมือนกับคนบ้านเราแหละน้า   หยุดคิดนอกเรื่องเมื่อรถวิ่งเข้าไปจอดที่ลานจอดรถ   พวกเราลงจากรถเดินเข้าสู่สำนักงาน คณะกรรมการสหกรณ์และเจ้าหน้าที่มากหน้าหลายตา นำโดยคุณฮิโรโตชิ ประธานกรรมการบริหาร คุณชินิชิ ผู้จัดการฝ่ายสินค้า  ยืนรอต้อนรับและนำเข้าสู่ห้องประชุม     ทักหาปราศรัยกันตามธรรมเนียม ดื่มชากาแฟเรียบร้อย คุณคิชิ กับคุณมารูซิม่า ก็เริ่มบรรยายสรุป  แต่ไปไปมามา แกหันมามองหน้าผมถี่ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับว่าหาที่จอดไม่ได้อีกแล้ว อาศัยที่ผมไปเที่ยวนี้ ได้เตรียมการณ์ไว้ก่อนล่วงหน้าจึงพลาดไม่ได้   ข้อมูลที่ทำเป็นรูปเล่มและรูปถ่ายที่รวบรวมไว้  เพื่อประกอบการนำเสนอ  บางรูป บางกิจกรรม มีภาษาญี่ปุ่นเขียนเตรียมไว้พร้อม โดยคุณจุลโคยาม่า   ดังนั้นภาพจากพิธีการแถลงการร่วม เรื่องการผลิตกล้วยปลอดสารพิษ  การลงนามในข้อตกลงร่วมกัน  ระหว่างตัวแทนสมาชิกสหกรณ์ผู้บริโภคโยโดกาว่า กับกลุ่มกล้วยหอมทองละแม    เมื่อผมส่งภาพและเอกสารไปให้เขาดูกันอย่างเป็นขั้นเป็นตอน  ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจเรื่องราวดีขึ้น  เจ้าหน้าที่สหกรณ์ฝ่ายประชาสัมพันธ์ได้ถ่ายภาพและถ่ายเอกสารต่างๆไว้เพื่อประชาสัมพันธ์แก่สมาชิกในโอกาสต่อไป   จากการรายงานของสหกรณ์โยชิบุจับความได้ว่า สหกรณ์นั้นมีสมาชิก ประมาณ 10,000 ครอบครัว สมาชิกบางท่านเคยซื้อกล้วยที่มาจากละแมไปรับประทานแล้ว แจ้งว่ารสชาดหวานหอม ดีกว่ากล้วยจากฟิลิปปินส์

          เสร็จภาระกิจนั่งรถกลับมาด้วยความอ่อนเพลีย เรานั่งหลับๆตื่นๆเช่นตอนขาไป ไกล้จะถึงที่พักผมมีอาการเคืองตาและแสบตาเป็นอย่างมาก น้ำตาไหลพรากๆอยู่ตลอดเวลา คิดในใจว่าเอาละซิเกิดอะไรขึ้น แต่อาศัยที่พอจะมีความรู้อยู่บ้าง เลยวินิจฉัยตัวเองว่าอาการตาอักเสบ คงจะมีสาเหตุมาจากการแพ้แอร์และแพ้อากาศ  และเกิดขึ้นขณะที่ร่างกายของเรากำลังอ่อนแอ  ดังนั้นหากเราได้พักผ่อนเต็มที่ ก็คงจะหาย แต่ยังไงก็ต้องหายาบรรเทาอาการแพ้มาหยอดตาด้วย   หลังจากออกมานอกรถ  ล้างหน้าล้างตาและนั่งหลับตาอยู่ครู่หนึ่งอาการแสบตาก็บรรเทาเบาบางลง  จนเกือบจะเป็นปกติ

          อาหารเย็นมื้อนั้นเราพบกันที่ร้านอาหารไทย ภายในตึกยาโตมูระ ย่านคาบูกิโจ  เป็นร้านอาหารแคบๆ แต่บรรยากาศเป็นแบบไทยๆเมนูประกอบไปด้วยอาหารไทยล้วนๆ  ทางเจ้าภาพสั่งเบียร์ตราสิงห์มาดื่มกัน ส่วนผมขอเป็นเหล้าสาเกแทน  เพราะมาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วนั่งดื่มเบียร์สิงห์ก็กระไรอยู่ ค่อยกินที่บ้านตัวเองจะดีกว่า   เพื่อนๆเห็นผมสั่งเหล้าสาเกก็เลยถามว่าคุณชอบเหล้าสาเกหรือผมตอบว่าชอบสิ เพราะกลิ่นหอมดี อาหารมื้อนั้นประกอบไปด้วยโป้ะแตก  ผัดปู แล้วก็ข้าวผัด มีกับแกล้มอย่างอื่นอีกจำไม่ได้   หลังจากรับประทานอาหารอิ่มแล้ว ยามาโมโต้ขอตัวไปปฏิบัติภาระกิจต่อ ซึ่งไม่มีอะไรนอกเหนือไปจาก การพบปะกันระหว่างกลุ่มธุรกิจ  คุณอีเดะเพิ่งเข้ามาถึง ได้นำผม คุณมารูซิม่า และคุณคิชิ ไปต่อที่ห้องคาราโอเกะ คุณอีเดะขึ้นร้องเพลงซูบารุ ตามคำขอของผม แต่พอร้องไปได้นิดหนึ่งแกก็ลงมาลากผมไปร้องกับแกด้วย อาศัยที่พอมีวิญานศิลปินอยู่เล็กน้อยจึงถูไถไปได้จนจบ  ท่ามกลางลูกยอของนิฮงสาวที่นั่งให้จังหวะเป็นกำลังใจอยู่ไกล้ๆ ผมนั่งเคล้าคลอเคียงข้างเธอหัดพูดภาษาญี่ปุ่นไป แล้วก็สลับเป็นภาษาไทยไป ชี้มือไปที่ภาพหรือของที่วางอยู่แล้วผลัดกันพูดนำพูดตาม  ครู่หนึ่งแคชเชียร์เข้ามาบอกว่ามีโทรศัพท์จากคุณยามาโมโต้ คุณมารูซิม่าออกไปรับสายแล้วกลับเข้ามาบอกว่าให้พวกเรารีบกลับไปนอน เพราะพรุ่งนี้จะเริ่มภาระกิจการทำงานตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า   เราจึงจำใจจับมือลาคุณอีเดะกลับที่พัก ผมแอบถามมารูซิม่าถึงราคาอาหารและคาราโอเกะที่ผ่านมา ก็ได้รับคำตอบว่า ค่าอาหารไทย 4000 กว่าบาท ค่าคาราโอเกะ 5000 บาท    ถึงที่พักในโรงแรม อาบน้ำอุ่นอีกรอบ ก็ล้มตัวลงนอนหลับทันที มาเคลิ้มๆอีกทีได้ยินเสียงอาอา อี้อี้ อยู่เพียงสองคำเท่านั้นเองรู้ได้ทันทีว่ามารูซิม่า นั่งดูหนังลามกไม่ยอมหลับนอน หมอนี่ลามกเอาการแฮะ  ขอหลับต่อครับ พรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ สวัสดีคะรับผม 

 

คำสำคัญ (Tags): #ปลอดสารเคมี
หมายเลขบันทึก: 202226เขียนเมื่อ 20 สิงหาคม 2008 15:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 เมษายน 2012 16:03 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท