คุณคาดหวังอะไรสำหรับเช้าวันอาทิตย์หลังจากความเหน็ดเหนื่อยจากการงานตลอดสัปดาห์
“นอนตื่นสายสักวัน” หรือ “นอนดูทีวีบนเตียงให้สบายอารมณ์” หรือ “ออกมานั่งเล่นสูดอากาศในสนามเล็กๆ หน้าบ้านอย่างเกียจคร้าน” หรือ ฯลฯ
เช้าวันอาทิตย์นี้ หลังข้าวต้มร้อนๆ ฉันหอบหนังสือพิมพ์กับหนังสือที่ค้างอ่านมานั่งปักหลัก ณ เทอเรซหน้าบ้าน โน้ตบุ๊ควางอยู่บนโต๊ะพร้อมใช้ ลมพัดเย็นสบาย เงียบสงบ เสียงนกที่คุ้นชินหลากหลายพันธุ์ร้องอยู่รอบบ้าน บ้างกระโดดหยองเหย็งบนสนาม ตามกิ่งไม้ยอดไม้หาหนอนหาแมลงกิน บ้างลงมาดื่มน้ำในอ่างดินที่เราเตรียมไว้ให้ เฮ้อ..ช่างเป็นเช้าที่สุขสงบยิ่ง
หลังจากเย็นย่ำและค่ำคืนที่ผ่านมา เพื่อนบ้านหลังหนึ่งประกาศก้องด้วยเสียงเพลงดังสนั่นทุกทิศได้ยินกันทั่วหมู่บ้านว่า “บ้านฉันมีงาน” ..แม้เราออกจะชินๆ กับเสียงเพลงที่ดังเกินพิกัดตลอดคืนจากหลังบ้านไกลโพ้นเลยดงลำพูไปทางหลังหมู่บ้าน แถบนั้นมีวัด ๒-๓ วัดที่สลับกันจัดงานบุญคราวละ ๕ วัน ๗ วัน เปิดเพลงดังลั่นให้เราชาวหมู่บ้านนอนฟังจนค่อนรุ่ง พวกเราต่างปรารภกันด้วยความอ่อนใจ แต่มิรู้หนทางแก้ไข นอกจากทำตัวให้เคยชิน แต่หนนี้มันดังอยู่ในซอยติดกัน เราพยายามเข้าใจว่า บ้านงานก็ต้องเปิดเพลงสิ แต่ที่เข้าใจยากกว่าคือ ไฉนต้องเปิดดังสนั่นขนาดนั้นหนอ ผู้คนในซอยบ้านงานนั้นจะได้งีบหลับกันลงละหรือ
คืนวันเสาร์ที่อึงอลก็ผ่านไป...ด้วยดี เช้าวันอาทิตย์นี้ ดูว่าเหตุการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ ฉันเริ่มเปิดหนังสืออ่าน
พลันเสียงสนั่นของเครื่องเสียงจากบ้านงานหลังเดิมก็แผดก้องขึ้น เป็นเพลงขันหมากมาแล้ว ตามด้วยเพลงประเภทขันหมากทั้งหลาย ๕-๖ เพลง ไขปริศนาว่าค่ำคืนที่ผ่านมาบ้านนั้นจัดงานอะไร เสียงเพลงหยุดลงตามด้วยเสียงโห่..ฮี๊...โห่...ฮี๊ว...ใส่ไมล์ดังสนั่น ต่อด้วยเสียง ปัง ปัง ปัง...คาดว่าเป็นเสียงปืน สลับกับเสียงประทัดรัวถี่ยิบ ราว ๔ ชุดใหญ่ๆ เจ้าโบอิ้ง โดเบอร์แมนของเราวิ่งพล่านไปมาด้วยความตกใจในตอนแรกๆ แล้ววิ่งไปสำรวจตรวจตราอยู่ริมรั้ว นกตัวเล็กตัวน้อยที่หากินแมลงอยู่ในสนามบินกระเจิงวงแตก
ฉันพับหนังสือเก็บ นั่งนิ่งฟังไปเรื่อยๆ พลางครุ่นคำนึง
หลายสิบปีก่อนโน้น เด็กที่เกิดและเติบโตในชนบทอย่างฉันจะคุ้นชินกับงานต่างๆ ของเพื่อนบ้านในหมู่บ้าน (ที่เป็นหมู่บ้านจริงๆ หาใช่หมู่บ้านในความหมายของคนเมืองไม่) ไม่ว่าจะเป็นงานบวช งานแต่ง งานตาย จะจัดกันที่บ้านตัวเอง งานจะเป็นที่รวมคนในหมู่บ้านเริ่มแต่คืนก่อนวันงาน จนจบงาน ที่มักยืดยาวหลายวัน ชาวบ้านจะไปช่วยกันโดยมิพักบอกกล่าว หรือ บอกกันง่ายๆ ว่า “จะบวชลูก ไปนะ” อะไรทำนองนั้น ผู้หญิงจะไปรวมกันในครัว คิดอ่านจัดแจงเรื่องอาหารการกิน ผู้ชายจะช่วยกันจัดสถานที่ตั้งแต่เริ่มจนหมดงาน บ้างเมาจนคอพับอยู่ที่บ้านงาน เราเด็กๆ จะสนุกสนานตื่นเต้นที่จะติดสอยห้อยตามผู้ใหญ่ไปบ้านงาน ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ เช่น ปอกหอม ปอกกระเทียม เด็ดพริก พอเบื่อก็ออกไปวิ่งเล่น ถึงเวลาอาหารก็กินร่วมกัน บ้านงานที่มีเงินหน่อยจัดหาเครื่องเสียงมาเปิดเพลงกันสนั่นหัวบ้านท้ายบ้าน เสียงเพลงเร้าใจ สนุกสนาน ดึงดูดคนทุกบ้านเรือน ให้ไปรวมกัน คุยกันไปทำงานกันไป เป็นความสุขร่วมกันของคนในหมู่บ้านที่ความสัมพันธ์แนบแน่น
ฉันถามตัวเองว่า แล้วไฉน เราจะรำคาญเสียงเพลงสนั่นจากบ้านงาน หรือ งานวัด ในวันนี้เล่า
หรือจะเป็นเพราะคนยุคนี้ปริ่มล้นด้วยความอื้ออึงต่างๆ ตลอดวันตลอดคืน จนอึดอัด คับข้องตลอดเวลายาวนานของสัปดาห์ เราถูกอัดด้วยสรรพเสียงต่างๆ ทั้งเสียงสั่งงานของเจ้านาย เสียงพร่ำบ่นถึงงานหนักหนาที่ไม่มีวันจบสิ้นของเพื่อนร่วมงาน หรือ เสียงเรียกร้องหาบริการไร้ที่ติจากผู้รับบริการ เราถูกอัดด้วยข้อมูลข่าวสารดีบ้างร้ายบ้าง และมักหนักไปทางร้ายมากกว่าดี ถูกกระหน่ำซ้ำเติมจากเสียงละครโทรทัศน์ที่เอียงไปทางอุจาดเจี๊ยวจ๊าวโหวกเหวกด่าทอในยามค่ำคืน และเสียงเหน็บแนมถากถางด้วยถ้อยคำรุนแรงใส่กันจากตัวแสดงทางการเมืองระดับบนของประเทศ
นี่กระมังที่อาจเป็นสาเหตุให้คนเราทุกวันนี้จึงหนักอึ้งด้วยเสียงที่อึงอลอัดแน่นอยู่ภายใน กระทั่งหมดความอดทนในสิ่งที่เราเคยทนได้ในอดีต
ความครุ่นคำนึงถึงบรรยากาศสุขสงบในอดีตช่วยให้จิตหลุดไปจากเสียงอึงอลของเช้าวันอาทิตย์ได้สำเร็จ และเมื่อกลับมาสู่ปัจจุบันก็เกิดความสงบอย่างอัศจรรย์ท่ามกลางเสียงเพลงสนั่นอยู่เช่นนั้นอีกค่อนวัน.
อาทิตย์ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๑