ศธ.คิดสูตรใหม่ครูต่อนักเรียน ช่วยปัญหาขาดแคลนครูลดลง


ศธ.คิดสูตรใหม่ครูต่อนักเรียน ช่วยปัญหาขาดแคลนครูลดลง

ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน OSK66: คิดสูตรใหม่ชงต่ออายุครูถึง65ปีช่วยปัญหาขาดแคลนครูลด

 

ศธ.คิดสูตรใหม่ครูต่อนักเรียน ช่วยปัญหาขาดแคลนครูลดลง

             ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน OSK66 รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยความคืบหน้าการจัดทำหลักเกณฑ์ใหม่ในการคำนวณอัตราส่วนครูต่อนักเรียนว่า ขณะนี้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) กำลังวิเคราะห์ข้อมูลครั้งสุดท้าย คาดว่าจะเสนอให้ตนพิจารณาได้ในเร็ว ๆ นี้ และจะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีภายในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งในเบื้องต้นทราบว่าเมื่อพิจารณาจากหลักเกณฑ์ใหม่ จะทำให้ปัญหาขาดแคลนครูของศธ.ลดเหลือเพียง 20,000–30,000 อัตราจากเดิมที่คำนวณไว้ว่าขาดแคลนครูถึง 70,000 อัตรา ทั้งนี้ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาขาดแคลนครูจะสรุปเป็นวาระแห่งชาติด้านการศึกษารวมกับแผนพัฒนาด้านอื่นๆ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุดมศึกษาระยะยาว 15 ปี ซึ่งจัดทำเสร็จแล้ว, ยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาการพัฒนาการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจแก้ไขร่างฯ และยุทธศาสตร์การพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก
            ศ.ดร.วิจิตร กล่าวต่อไปว่า ตัวเลขความขาดแคลนครูจะผูกโยงกับโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด หรือเออร์ลี่รีไทร์ เพราะเป็นที่ชัดเจน ว่าจากการเออร์ลี่ที่ผ่านมา เป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนครู เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะทำให้ ศธ.สามารถเสนอต่อรัฐบาลได้ง่ายขึ้น เช่น หาก ศธ.จะเข้าโครงการเออร์ลี่ก็ต้องคืนอัตราให้เต็ม 100% เพราะหากคืนแค่ 20-30% เหมือนเดิมก็จะเกิดผลกระทบมากขึ้น แม้ว่าหลักเกณฑ์ใหม่การคำนวณอัตราส่วนครูต่อนักเรียนที่ทำใหม่จะทำให้จำนวนครูที่ขาดแคลนลดลงก็คงไม่เป็นปัญหาในการต่อรองขออัตราคืนทั้ง 100% เพราะไม่ว่าจะขาดครู 30,000 อัตรา หรือ 70,000 อัตราก็ถือว่าขาดแคลนเหมือนกัน และจำเป็นต้องได้อัตราคืน ทั้ง 100%

            สำหรับร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็กได้จัดทำเสร็จแล้ว โดยมีระยะเวลาดำเนินงาน 3 ปี ตั้งแต่ปี 2551–2553 ใช้งบประมาณ 2,750 ล้านบาท แบ่งเป็น 4 ด้าน ได้แก่ 1. การวางแผนและการบริหารจัดการ 2. การพัฒนาการเรียนการสอนและการประกันคุณภาพการศึกษา 3. การเสริมสร้างความพร้อมและความเข้มแข็งของโรงเรียน และ 4. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในการจัดการศึกษา โดยจะทดลอง 3 ปี มุ่งเน้นให้โรงเรียนขนาดเล็กดำรงอยู่ได้อย่างมีคุณภาพ แต่หากไม่ประสบความสำเร็จก็จะปรับเปลี่ยนวิธีใหม่ แต่จะไม่มีการยุบโรงเรียนขนาดเล็กอย่างแน่นอน.

วิจิตรคิดฟื้นร.ร.ดัดสันดานแก้เด็กมีปัญหา "ประเวศ"ค้าน + กรมพินิจฯไม่เห็นด้วย
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 21 กันยายน 2550 16:22 น.

          วิจิตรสนใจฟื้นโรงเรียนดัดสันดานหนุนแนวคิดคุณหญิงกษมาตั้งสถานศึกษาเพื่อสอนเด็กที่มีปัญหา ระบุโรงเรียนดัดสันดานในอดีตก็มีหลักการเดียวกันเพื่ออบรมเด็กที่โรงเรียนไม่สามารถสอนได้ แต่ไม่ฟื้นไม้เรียวกำราบเด็ก หวั่นครูจะเป็นผู้กระทำความรุนแรงเสียเอง เตรียมเรียกประชุมคณะทำงานแก้ปัญหาปัญหาเด็ก ห่วงพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงหลังคลิปตบแหลกนักเรียนลำพูนอาละวาด และไทยวิจิตรศิลป์รับน้องปางตาย

            คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(กพฐ.) กล่าวถึงกรณีนักเรียนชั้น ม.4 โรงเรียนอุโมงค์วิทยาคม จ.ลำพูน ยกพวกรุมตบตีทำร้ายรุ่นน้องจนได้รับบาดเจ็บ ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนานนับสัปดาห์ ว่า ขณะนี้ในโรงเรียนระดับมัธยมมีระบบดูแลพฤติกรรมนักเรียนในโรงเรียนอยู่แล้ว แต่อาจต้องมีโครงการใหม่รองรับเด็กที่มีปัญหาซึ่งกระจายตัวอยู่ตามโรงเรียนต่างๆ โดยอาจจัดให้มีสถานที่สำหรับอบรมระยะสั้น หรือเป็นโรงเรียนแบบกึ่งวิถี เพื่อปรับนิสัยนักเรียน เป็นสถานที่ที่ให้เด็กได้พักพิงชั่วคราว ให้การดูแลแบบครูดูแลศิษย์ด้วยความรัก ความเข้าใจ ให้เด็กมีความสำนึก เปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อยุติปัญหาก่อนกลับมาเรียนอีกครั้ง เนื่องจากเด็กเกเรมีจำนวนมาก ซึ่งเกินกำลังที่ครูจะดูแลได้ เพราะครูไมได้รับการอบรมเรื่องการแก้ปัญหาสังคม

               อย่างไรก็ตาม จะต้องคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงรายละเอียดอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งไม่เหมือนกับสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เนื่องจากสถานเด็กที่จะเข้ามาอบรมปรับพฤติกรรม จะเป็นเด็กที่มีปัญหา มีพฤติกรรมเกเร แต่ไม่ได้กระทำความผิดกฎหมายร้ายแรงเหมือนกับสถานพินิจ

               ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงเรียนอย่างต่อเนื่องขณะนี้ หากมีระบบดูแลที่ดีในโรงเรียนก็น่าจะช่วยได้ อย่างไรก็ตาม คงไม่ได้สะท้อนว่านโยบายส่งเสริมคุณธรรมในสถานศึกษาไม่ได้ผล เพราะเด็กที่มีปัญหา นโยบายอย่างเดียวคงแก้ไขไม่ได้ ต้องแก้ปัญหาสังคมด้วย เพราะเด็กเหล่านี้เป็นผลพวงจากสังคม ซึ่งหากดูประวัติส่วนใหญ่จะมีปัญหามีความรุนแรงในบ้าน หรือถูกทอดทิ้ง ซึ่งการแก้ปัญหาด้วยการนำสิ่งดีๆ เข้าไปอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องแก้ปัญหาให้เด็กด้วยคุณหญิงกษมากล่าว


 

                ด้านนายวิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ ถึงแนวคิดของเลขาธิการ กพฐ.ที่เสนอให้จัดตั้งสถานที่พิเศษขึ้นเพื่อดูแลเด็กที่มีปัญหาโดยเฉพาะ ว่า การจัดสถานที่ขึ้นมาดูแลเด็กมีปัญหาโดยเฉพาะเป็นแนวคิดที่ดี และโดยหลักการก็สามารถทำได้ เพราะเด็กบางกลุ่มโรงเรียนปกติอาจจะไม่สามารถให้การศึกษาได้ ก็ต้องแยกออกมา เหมือนในอดีตที่มีโรงเรียนดัดสันดาน เพื่อปรับพฤติกรรมของเด็ก ในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการได้ในสถานศึกษาปกติทั่วไปได้ เช่นเดียวกับการแยกนักเรียนพิการไปเรียนในโรงเรียนเฉพาะ เนื่องโรงเรียนปกติไม่สามารถให้การดูแลได้ แต่ก็มีนักเรียนพิการบางส่วนที่สามารถเรียนร่วมกับเด็กปกติได้ เช่นเดียวกันถ้าต้องการปรับประพฤติของเด็ก โรงเรียนปกติอาจไม่มีขีดความสามารถที่จะทำได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นการตั้งโรงเรียนเฉพาะขึ้นก็เป็นเหตุผลที่ดี แต่ต้องดูรายละเอียดให้รอบคอบ รวมถึงเด็กกลุ่มใดบ้างที่จะต้องเข้าข่ายต้องแยกออกมา ซึ่งตนก็จะได้นำข้อเสนอดังกล่าวนี้มาหารือในที่ประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาและพัฒนาเยาวชนในสถานศึกษาในสัปดาห์หน้าด้วย

                 โรงเรียนดัดสันดานในอดีตก็มีหลักการเดียวกันนี้ เพราะจะมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่ไปเรียนในโรงเรียนธรรมดาที่ไหนไม่ได้แล้ว ซึ่งรุ่นผมจะกลัวกันมากว่าจะถูกส่งไปอยู่โรงเรียนดัดสันดาน จริงๆ ก็เหมือนกับหลักการของสถานพินิจฯ แต่ต่างกันที่สถานพินิจฯ รับเด็กที่ทำผิดทางอาญาเข้าไปเพราะไม่สามารถใช้กฎหมายปกติลงโทษได้ จึงมีวิธีพิเศษสำหรับเยาวชน แต่กรณีนี้ไม่ใช่เด็กที่ทำผิดกฎหมายอาญา เพียงแต่ต้องการปรับพฤติกรรมบางอย่าง ที่โรงเรียนปกติไม่สามารถพัฒนาหรือให้การศึกษาได้นายวิจิตรกล่าว

                  เมื่อถามว่าจะมีนำแนวคิดของโรงเรียนดัดสันดานขึ้นมากับกลุ่มเด็กที่มีปัญหาด้านพฤติกรรมรุนแรงหรือไม่ นายวิจิตร กล่าว หากทุกฝ่ายคิดว่าเหมาะสม แต่คงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ส่วนจะเรียกชื่อเรียกอย่างไรนั้น ส่วนตัวแล้ว สพฐ.มีหน้าที่ในการจัดการศึกษา จะเรียกชื่ออย่างไรก็เป็นสถานศึกษาประเภทหนึ่งอยู่ดี

                   นายวิจิตรกล่าวอีกว่า ในส่วนข้อเสนอให้รื้อฟื้นไม้เรียวนั้น ตนคิดว่าเหตุการณ์เหล่านี้ในยุคไม้เรียวก็เคยเกิดขึ้น ดังนั้นเรื่องนี้ต้องคิดให้ดี ไม่เช่นนั้นความก้าวร้าวรุนแรงกลายไปเป็นพฤติการณ์ของครูแทน และตนไม่มั่นใจว่าจะช่วยลดปัญหาความก้าวร้าวรุนแรง หรือยิ่งเป็นการยั่วยุให้เกิดความรุนแรงมากขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตามเชื่อว่าครูจะอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ได้ผลก็ต่อเมื่อทำด้วยความเมตตาปราณี จนเด็กเคารพ ไม่ใช่เพราะกลัว


กรมพินิจฯไม่เห็นด้วยตั้งโรงเรียนดัดสันดานเด็กก่อเหตุรุนแรง

              รองอธิบดีกรมพินิจฯ ชี้ปัญหาเด็กก่อเหตุรุนแรงต้องแก้เป็นระบบ ที่พ่อแม่ และสถาบันครอบครัวอย่าดึงเด็กออกไปดัดสันดานตามลำพัง จะไม่แก้ที่ต้นเหตุ ทำนายอีก 5-10 ปี จะเห็นเด็กก่อเหตุรุนแรงมากชัดเจนขึ้น วัยรุ่นหนีบำบัดยาเสพติดจมน้ำคลองเสียชีวิตที่ปาจีนบุรี

 

               นายธวัชชัย ไทยเขียว รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน กระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงแนวคิดการแก้ปัญหาความรุนแรงของเด็กในสถานศึกษา ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการเตรียมนำเด็กที่มีปัญหาไปเข้าค่ายปรับพฤติกรรมว่า ไม่อยากให้การแก้ปัญหาเด็กหลงทาง หรือหลงประเด็น การลงโทษเด็กที่ก่อความรุนแรง เช่น ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บางส่วนมีแนวคิดจะเอาเด็กไปประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต แนวคิดลักษณะนี้ แสดงให้เห็นว่าสังคมเริ่มป่วย และการแก้ปัญหาโดยสถาบันและองค์กรด้านเด็กก้าวตามไม่ทัน จะยิ่งทำให้เกิดปัญหาความรุนแรงในเด็กมากขึ้น ทำนายได้ว่าในอีก 5-10 ปี จะพบเห็นเด็กกระทำรุนแรงมากชัดเจนขึ้น

              นายธวัชชัย กล่าวด้วยว่า ไม่เห็นด้วยหากจะมีการแบ่งแยกเด็กที่ก่อเหตุรุนแรงไปเข้าโรงเรียนเฉพาะเพื่อดัดสันดาน เพราะจะยิ่งเป็นการดึงเด็กออกจากสังคม การแก้ปัญหาเด็กต้องแก้ที่ครอบครัว พ่อแม่ของเด็ก หน่วยงานด้านเด็กต้องบูรณาการทำงานร่วมกัน ต้องมีเจ้าภาพในการดูแล ปัจจุบันยังไม่มีโดยตรง เป็นเหมือนการไหว้ครูคนละเวที ต้องเข้าใจว่าสถาบันทางสังคม ครอบครัวปัจจุบันเปลี่ยนแปลง ไม่มีปู่ ย่า ตา ยาย ช่วยเลี้ยงดูกล่อมเกลา เด็กบางรายพ่อแม่ไม่เอา ครูไม่เอา ก็จับลูกส่งสถานพินิจฯ หรือแนวคิดที่จะจับเด็กไปเข้าโรงเรียนเพื่อดัดสันดานคงแก้ปัญหาไม่ได้ แนวทางที่ถูกต้องคือ ต้องแก้ที่การหาครอบครัวอุปถัมภ์ และแก้เป็นระบบ

              ถ้ากระทรวงศึกษาฯ จะนำเด็กที่มีปัญหาในแต่ละเขตพื้นที่การศึกษามารวมที่โรงเรียนใดโรงเรียนหนึ่ง ปัญหาอื่นจะตามมา เช่น พ่อแม่จะไปเยี่ยมอย่างไร กระทรวงศึกษาฯ จะต้องหางบประมาณมาจ่ายค่าเดินทางให้พ่อแม่ และยังค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ อีก เหมือนที่สถานพินิจฯ ทำอยู่นายธวัชชัย กล่าว

 

วัยรุ่นหนีบำบัดยาเสพติดจมน้ำคลองเสียชีวิตที่ปาจีนบุรี

 

               เมื่อเวลา 08.00 น. วันนี้ (23 ก.ย. 2550) พ.ต.ท.ศรีศักดิ์ สุวรรณหงษ์ สารวัตรเวร สภ.อ.เมืองปราจีนบุรี พร้อมแพทย์โรงพยาบาลค่ายจักรพงษ์ ร่วมชันสูตรศพลอยติดพงหญ้าริมคลองสวนพริก หมู่ 8 ต.บ้านพระ อ.เมือง ชื่อนายสุขสันต์ (สงวนนามสกุล) อายุ 18 ปี อยู่เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ตามร่างกายไม่พบบาดแผลใด ๆ คาดว่าจมน้ำเสียชีวิตมาแล้ว 2 วัน

ตรวจสอบประวัติเบื้องต้นทราบว่า นายสุขสันต์ เป็น 1 ใน 110 คน ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดนำผู้ต้องหาคดียาเสพติดจากเรือนจำคลองเปรมและเรือนจำมีนบุรีเข้ามาในศูนย์บำบัดฟื้นฟูของค่ายจักรพงษ์ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และนายสุขสันต์ แอบหนีออกมากับพวกอีก 29 คน เมื่อค่ำวันที่ 20 กันยายน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตามจับกุมมาได้แล้ว 21 คน ส่วนนายสุขสันต์ คาดว่าขณะหลบหนีนั้น กระโดดน้ำลงคลอง แต่เนื่องจากมีสภาพมืดมาก น้ำในคลองไหลเชี่ยว ประกอบกับร่างกายอยู่ในภาวะเหนื่อยทำให้หมดแรงจมน้ำเสียชีวิตในวันเกิดเหตุ

 

"ประเวศ"ค้านตั้งรร.ดัดสันดาน

               นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงศึกษาธิการมีแนวคิดแก้ปัญหาความรุนแรงของเด็กในสถานศึกษา โดยการนำเด็กที่มีปัญหาไปเข้าค่ายปรับพฤติกรรมว่า ตนไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว เพราะถือว่าเป็นวิธีคิดทางลบ เนื่องจากพฤติกรรมของมนุษย์ทุกคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราต้องทำความเข้าใจ เช่น คำว่าเด็กเปรต เด็กเกเร ผู้เชี่ยวชาญเคยกล่าวว่าเด็กกลุ่มนี้หมายถึงเด็กที่มีพลังงานเยอะ ดังนั้นถ้าเด็กได้มีโอกาสแสดงออกในด้านศิลปะ ดนตรี และกีฬา เด็กกลุ่มนี้ก็จะกลายเป็นคนที่สร้างสรรค์ได้ อย่างไรก็ตามการจะจัดค่ายพฤติกรรม หรือทำโรงเรียนดัดสันดาน เป็นสิ่งที่ไม่ดีถือเป็นการดูถูกคน ๆ นั้นว่าสันดานไม่ดี ซึ่งแม้จะเป็นสถานที่อบรมแต่หลักการของการอบรม การลงโทษ หรือการแยกคนก็ถือว่าไม่ดี ซึ่งค่านิยมในสังคมก็เป็นการดูถูกคนอยู่แล้ว แล้วคน จะอยู่ในสังคมได้อย่างไร คนทุกคนจะต้องมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และมีคุณค่าทั้งนั้น

                นพ.ประเวศ กล่าวต่อไปว่า สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหา เด็กที่มีพฤติกรรมไม่ดีนั้นจะต้องเริ่มจากการมีกระบวนการเรียนรู้ที่ดี มีความคิดรอบคอบ ต้องแก้ไขด้วยความรัก ไม่ใช่การลงโทษ และที่ผ่านมาการศึกษาถือเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก ที่นำพาความทุกข์มาสู่ผู้คน การเรียนเน้นแต่การท่องจำวิชา ทำให้คนทำงานไม่เป็น คิดไม่เป็น อยู่ร่วมกันไม่เป็น ดังนั้นการเรียนจะต้องไม่เน้นการท่องจำ เพราะการที่คนจะเรียนรู้ต้องเรียนรู้จากการปฏิบัติ เช่น การที่เราเดินได้ ก็เพราะปฏิบัติ แต่ถ้าไปท่องเรื่องการเดินก็จะเดินไม่เป็น

              

 

             ทุกวันนี้การศึกษาถูกแยกออกเป็น 2 ส่วนคือ ชีวิต และการศึกษา โดยเอาวิชาเป็นตัวตั้ง ทั้งที่ตามหลักพระพุทธศาสนาก็กำหนดว่า 2 อย่างต้องอยู่คู่กัน ชีวิตคือการศึกษา ต้องเรียนรู้จากตรงนั้น เราจะต้องสนใจในเรื่องนี้ให้มาก ๆ ไม่เช่นนั้นก็จะแก้ไขปัญหาไม่ได้นพ.ประเวศ กล่าว.

ศธ.ชงต่ออายุครูถึง65ปีเสียดายความรู้ครูเก่ง

                ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ตนได้หารือในที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาา (ก.ค.ศ.) เกี่ยวกับแนวคิดในการขยายเวลาเกษียณอายุราชการของข้าราชการครูออกไปเป็น 65 ปี เช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย ซึ่งที่ประชุมก็เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าวและได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(อ.ก.ค.ศ.)ที่ดูแลด้านสวัสดิการและสวัสดิภาพครูไปศึกษาและพิจารณาถึงข้อดีข้อเสียของเรื่องดังกล่าว เพื่อนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ก.ค.ศ. ในเดือนตุลาคมนี้

                 ศ.ดร.วิจิตร กล่าวต่อไปว่า นายนคร ตังคะพิภพ ผู้อำนวยการโรงเรียนเบญจมเทพอุทิศ จ.เพชรบุรี ที่เพิ่งได้รับวิทยฐานะผู้อำนวยการสถานศึกษาเชี่ยวชาญพิเศษคนแรกของประเทศไทย หรือตำแหน่งผอ.คศ.5 เทียบเท่ากับตำแหน่งทางวิชาการในมหาวิทยาลัย หรือที่ปรึกษา ศธ.ระดับ 10 ไปเมื่อเร็วๆ นี้นั้น ปรากฏว่าขณะนี้นายนคร เหลืออายุราชการอีกเพียง 1 ปีเท่านั้น จึงเป็นอีกกรณีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า เป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะกว่าครูแต่ละคนจะสร้างผลงานทางวิชาการได้ก็ต้องใช้เวลา แต่เมื่อกำลังเก่งก็ต้องเกษียณอายุราชการออกไป

                  ผมได้เสนอในที่ประชุม ก.ค.ศ.ว่าแทนที่จะนำมาตรการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด หรือ เออร์ลี่รีไทร์ มาใช้ แต่เรากลับควรคิดถึงการรักษาครูที่มีผลงาน และยังเข็งแรงอยู่ต่อไป เพราะธรรมชาติของครูกว่าจะเก่งก็ต้องใช้เวลาจนใกล้เกษียณ ดังนั้นหากมีการต่ออายุเหมือนอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่จบปริญญาเอก หรือมีตำแหน่งรองศาสตราจารย์ก็สามารถรับการประเมินเพื่อต่ออายุราชการได้จนถึงอายุ 65 ปี เพราะหากปล่อยให้ครูเก่งๆเกษียณอายุไปก็จะไม่สามารถนำความสามารถมาใช้ประโยชน์พัฒนาการศึกษาได้ อย่างไรก็ตามข้อเสนอดังกล่าวไม่ได้ต้องการทำเพื่อนายนครเพียงคนเดียว แต่เป็นแนวคิดที่อยากให้ระบบราชการรักษาคนดี คนเก่งไว้ใช้ประโยชน์ได้นานๆศ.ดร.วิจิตร กล่าว และว่า หากมติ ก.ค.ศ.เห็นชอบให้มีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตนจะได้นำความเห็นเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป และตนจะพยายามดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในรัฐบาลชุดนี้ แต่หากพิจารณาอย่ารอบคอบแล้วไม่สามารถดำเนินการได้ทันก็จะจัดทำข้อเสนอไว้เพื่อให้รัฐบาลชุดใหม่ดำเนินการต่อไป

                ศ.ดร.วิจิตร กล่าวอีกว่า ขณะนี้ข้าราชการทั่วไป อาทิ ตุลาการก็เสนอขอขยายเวลาเกษียณอายุราชการไปจนถึง 70 ปี หรือในส่วนของรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนก็ขอต่ออายุเกษียณไปจนถึง 65 ปีแล้ว แต่ขณะนี้มีเพียงข้าราชการครูเท่านั้นที่ยังยึดกฎเกณฑ์เกษียณที่อายุ 60 ปี ทั้งที่ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบันทำให้อายุเฉลี่ยของคนทั่วไปสูงขึ้นมีอายุยืนยาวขึ้น ดังนั้นการเกษียณที่อายุ 60 ปี จึงถือว่าล้าสมัยไปแล้ว โดยเฉพาะในสายงานวิชาการ เช่น ข้าราชการครูที่กำลังประสบกับปัญหาขาดแคลนมาโดยตลอดนั้น ตนคิดว่าหากมีการขยายเวลาเกษียณออกไปก็จะช่วยบรรเทาปัญหาเหล่านี้ได้ อีกทั้งยังทำให้ได้ครูที่มีคุณภาพอยู่ในระบบต่อไปอีกด้วย

ศธ.เชื่อครูมีเหตุผลหวั่นเออร์ลี่ทำการศึกษาตกตํ่า

                  จากกรณีที่องค์กรครูระบุว่าการเข้าสู่โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด หรือเออร์ลี่รีไทร์ของข้าราชการครูเป็นสิทธิส่วนบุคคล โดยเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดโอกาสให้ข้าราชการครูเข้าโครงการเออร์ลี่ฯ ได้นั้น ศ.ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า ตนยืนยันว่าการเออร์ลี่ฯ ไม่ใช่สิทธิส่วนบุคคล เพราะมีที่มาจากหลักการบริหารงานบุคคลที่ต้องการคงประสิทธิภาพองค์กร ด้วยการถ่ายเลือดเก่าเพื่อให้มีเลือดใหม่เข้ามาสู่องค์กร โดยจ่ายค่าตอบแทนเป็น แรงจูงใจให้แก่บุคลากรที่อาจจะรู้สึกเหนื่อยล้าได้ออกไปก่อน ที่จะเกษียณอายุราชการตอนอายุ 60 ปี แต่ปรากฏว่าระบบราชการไทยกลับนำหลักการนี้มาใช้ลดอัตรากำลังคนภาครัฐแล้วยุบอัตรานั้นลง ซึ่งหากนำไปใช้กับหน่วยงานที่มีบุคลากรล้นอยู่แล้วก็ไม่มีปัญหา แต่เมื่อนำมาใช้กับการศึกษาจึงกลายเป็นการสร้างปัญหาทำให้เกิดการขาดแคลนครู

                  รมว.ศธ.กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาตนไม่เคยห้ามหรือกีดกันครูหากต้องการเออร์ลี่ฯ เพียงแต่อยากชี้แจงว่าเรื่องนี้ไม่ใช่สิทธิส่วนบุคคล ซึ่งมติ ครม.ก็มีระบุไว้ชัดเจนว่าให้ยกเว้นวิชาชีพที่ขาดแคลน หรือผู้ที่มีความดีความชอบได้เลื่อน 2 ขั้น ติดต่อกันภายใน 5 ปี ดังนั้น ศธ.ก็ต้องมาพิจารณาคำว่าวิชาชีพที่ขาดแคลนให้ชัดว่าหมายถึงอะไร ถึงแม้ว่าในภาพ รวมครูอาจจะดูเหมือนไม่ขาดแคลน แต่ในความเป็นจริงแล้ว โรงเรียนในทุกพื้นที่มีปัญหาขาดแคลนครูอยู่ โดยเฉพาะสาขาวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ซึ่งตนเป็นห่วงว่ายิ่งครูดี ครูเก่งออกไปมาก ๆ การศึกษาชาติจะต้องตกต่ำลงจนกู้ไม่ได้ ส่วนที่มีการระบุว่าครูถือว่าเรื่องนี้เป็นสิทธิและอาจจะไปฟ้องศาลปกครองหากครูไม่ได้เข้าร่วมโครงการครั้งนี้ ตนก็เคารพในสิทธิ และจะไม่ห้าม เพียงแต่อยากบอกว่าทุกอย่างต้องเป็นตามกฎเกณฑ์ ซึ่งตนจะประชุมร่วมกับผู้บริหารองค์กรหลักในสังกัดวันที่ 14 ก.ย.นี้ โดยคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปเบื้องต้น เพื่อจะได้ประกาศให้ครูทราบว่า วิชาชีพขาดแคลนมีขอบเขตอย่างไร เพื่อที่ครูจะได้ไม่ต้องมาสมัครเก้อ

            จากการเออร์ลี่ฯ 2 รอบที่ผ่านมา ขณะนั้นผมเป็นฝ่ายค้านและเป็นประธานคณะกรรมาธิการศึกษา ก็ได้เชิญดร.อดิศัย โพธารามิก รมว.ศึกษาธิการ และคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ในขณะนั้น มาชี้แจงว่าเมื่อมีการเปิดทางให้กำหนดสาขาวิชาชีพขาดแคลนได้ ทำไม ศธ.จึงไม่กำหนดให้ครูเป็นวิชาชีพขาดแคลน ซึ่งได้คำตอบว่า ศธ.ไม่กังวลเพราะมีคนรอบรรจุเป็นครูเยอะมาก และอ้างว่าเป็นสิทธิของครู จนปล่อยให้ครูในสาขาวิชาที่ขาดแคลนออกไปเรื่อย ๆ แต่พอเอาเข้าจริงที่บอกว่ามีคนรอบรรจุเยอะกลับไม่ได้มีจริงอย่างที่บอก ดังนั้นการที่ครูจะเออร์ลี่ฯรอบนี้จะต้องพิจารณาให้รอบคอบมากกว่านี้ หรือหากจำเป็นจะต้องเออร์ลี่ฯจริง ๆ ก็ควรคืนอัตราให้ ศธ.ทั้ง 100%” ศ.ดร.วิจิตร กล่าวและว่า ขณะนี้ ศธ.ขาดแคลนครูอยู่แล้วกว่า 7-8 หมื่นคน สิ่งที่ตนทำทุกอย่างคำนึงถึงประโยชน์ของชาติเป็นหลัก ส่วนครูจะออกเคลื่อนไหวตนก็ไม่ห้าม เพราะหากครูเคลื่อนไหวโดยไม่มีเหตุผลประชาชนก็รับไม่ได้ ซึ่งตนเชื่อว่าเพื่อนครูเป็นคนมีเหตุผล เพราะเมื่อใดก็ตามที่คนเป็นครูไม่มีเหตุผลแล้วความหวังต่ออนาคตของชาติจะอยู่ที่ไหน.

ที่มา:

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9500000111780

http://www.komchadluek.net/2007/09/23/a001_155499.php?news_id=155499

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=141064&NewsType=1&Template=1

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=140824&NewsType=1&Template=1

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=139835&NewsType=1&Template=1

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=142308&NewsType=1&Template=1

 

 

หมายเลขบันทึก: 200275เขียนเมื่อ 11 สิงหาคม 2008 20:26 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2012 09:18 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท