“ศูนย์ข้าวชุมชนมีหลายตำบล จากที่ผมได้ลองไปสัมผัสกับเกษตรกรหลายๆตำบล
ไม่มีตำบลไหนที่ เหมือนแบบนี้ คือ เกษตรกรสามารถคิดเอง ทำเอง
และกล้าเปลี่ยน บางครั้งเราสอนไปแล้ว เกษตรกรทำไปได้สักพัก
แต่เวลาเราออกไป เขาก็เลิกทำ
ซึ่งต่างจากเกษตรกรในตำบลหนองตางูอย่างสิ้นเชิง
เพราะเกษตรกรที่นี่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ในทุกขั้นตอน
และปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยไม่จำเป็นต้อมีใครไปสอนให้เขาทำมาก”
ทำให้เกษตรกรสามารถขยายเครือข่ายของตนเองได้ โดยอาศัย ญาติพี่น้อง
และเพื่อนบ้านด้วยวิธีการทำให้เห็น
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้กลุ่มเกษตรกรประสบความสำเร็จมากเพราะเกิดจากความคิดของเกษตรกรกลุ่มนี้ที่ตระหนึกถึงความสำคัญของการเรียนรู้
สมชาย เสนชัย เกษตรกรหนุ่มวัย 37 ปี
เป็นคนหนึ่งที่แต่เดิมมีวิถีการทำนาเหมือนกับเกษตรกรทั่วไปที่ตกเป็นทาสของการพึ่งสารเคมี
แต่เมื่อความรู้เรื่องการทำเกษตรแบบปลอดสารผ่านเข้ามา
เขาก็ไม่ลังเลที่จะเก็บเกี่ยวมันไว้ และมีความกล้าที่จะเปลี่ยน
แม้จะถูกผู้ที่ยึดอาชีพเดียวกันกล่าวหาว่า “บ้า” ก็ตาม
“ผมมีความเชื่อว่าเกษตรปลอดสารสามารถที่จะทำได้
ขอให้มีความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง
ตอนนี้ข้าวที่ผมทดลองปลูกแบบปลอดสารเป็นรุ่นที่ 2 แล้ว วิธีการก็คือ
ทุกกระบวนการผลิตไม่มีสารเคมีเจือปน
ผมเรียนรู้จากโรงเรียนชาวนาได้หลายเรื่อง และก็นำความรู้นั้นมาปรับใช้
เช่น การหว่านปุ๋ยชีวภาพจากที่เคยเสียเวลาหว่าน
ตอนนี้ผมเอาปุ๋ยไปเทกองหน้าทางน้ำเสร็จแล้วก็เปิดให้น้ำเข้าแปลงนา
ปุ๋ยก็ละลายไปกับน้ำกระจายไปทั่วแปลงนา ไม่ต้องเสียแรงเสียเวลา
และไม่เหนื่อย มีคนว่าผมขี้เกียจ ผมยอมรับว่าขี้เกียจ
แต่เป็นการขี้เกียจอย่างชาญฉลาดมากกว่า”
คำว่า
“ขี้เกียจอย่างชาญฉลาด” ของคุณสมชายนั้น
เขาบอกว่าอุปกรณ์หลักในการทำนาแบบที่ว่านี้คือ “ใจ”
เมื่อมีใจที่กล้าและเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองทำแล้ว ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ
ความแข็งแรงของต้นข้าว ความอุดมสมบูรณ์ของดิน
และระบบนิเวศในแปลงนาหวนกลับมา และที่สำคัญคือหลุดจากกับดักของสารเคมี
ที่ตลอดชีวิตการทำนาของเขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
ทำให้ทุกวันนี้แปลงนาของคุณสมชายทั้งหมดจำนวน 60 ไร่ งดใช้ปุ๋ยเคมีเลย
ไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลงด้วย และยังพบว่า
มีเกษตรกรบางรายที่มาร่วมเรียนรู้ได้กลับไปทดลองในแปลงนาของตนเอง
ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจระบบนิเวศน์มากขึ้นและเลิกใช้สารเคมีไปโดยปริยาย
“ตอนแรกเขาแนะนำให้ผมทดลองทำเกษตรแบบปลอดสารประมาณ 10 ไร่
แต่ผมไปแอบทำเอาเองหมดเลย 60ไร่ ซึ่งมันก็ได้ผลและทำได้จริง
และสิ่งที่เห็นอย่างชัดเจนคือต้นทุนน้อยลง จากเมื่อก่อนลงทุน 2,700
บาท/ ไร่ เมื่อทำนาแบบปลอดสาร ลงทุนเพียง 1,200 บาท/ ไร่
ต้นทุนถูกลงครึ่งต่อครึ่ง”
ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นจากกลุ่มนักเรียนโรงเรียนชาวนารุ่นแรก
ได้สร้างความมั่นใจในการทำเกษตรแบบปลอดสารได้อย่างชัดเจนขยายเครือข่ายเกษตรปลอดสาร
ในแบบฉบับโรงเรียนชาวนาหนองตางูได้ถึง 5 หมู่บ้าน
มีนักเรียนชาวนารุ่นใหม่เพิ่มขึ้นอีก 30 คน
กำหนดเรียนรู้ร่วมกันสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
และระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องก็มีเรียนกันเองสอนกันเองด้วย
และผลจากการทำนาแบบใหม่คือ ต้นข้าวตั้งตรง สวย แข็งแรง
และมีสีเขียวอมเหลืองดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
“เปรียบเทียบกันได้เลยครับ เพราะแปลงที่ปลูกข้าวแบบเกษตรแบบเคมี
กับเกษตรแบบปลอดสารปลูกไว้ใกล้ๆกันเลย
เวลาฝนมาลมมาต้นข้าวในแปลงนาชีวภาพยังตั้งตรงไม่สะทกสะท้านแรงลม-ฝนเลย
สีก็เขียวอมเหลืองแบบธรรมชาติ แต่หันไปมองแปลงนาเคมีสีต้นข้าวเขียวปี๋
โดนลมโนฝนหน่อยเดียวต้นก็ลู่ลม ต้นข้าวล้มตัวนอนไปหมดเลย
สรุปบทเรียนโรงเรียนชาวนา
หลังฤดูเก็บเกี่ยว
เดือนตุลาคม 2547
กลุ่มเกษตรกรได้ทำการสรุปรายรับรายจ่ายมาแล้ว และเห็นตัวเลขที่ชัดเจน
คือ แปลงนาของนายวิชาญ โรงอ่อน ซึ่งทำนาจำนวน 25 ไร่ ได้ข้าว 22
เกวียน โดยมีค่าใช้จ่าย ตั้งแต่ ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าน้ำมัน
ค่าปุ๋ย ค่ายา ค่าน้ำหมักชีวภาพ ค่ารถและอื่น ๆ รวมทั้งสิ้น
22,150 บาท โดยขายข้าวราคาเกวียนละ 4,750 บาท รวม 22 เกวียน เป็นเงิน
104,500 บาท เหลือเงิน 82,850 บาท
วิชาญ ให้ข้อมูลว่า
“ผมไม่รู้สึกเสียใจเลยที่การทำนาในครั้งนี้ผลผลิตจะลดลงไปจากฤดูกาลที่แล้วไป
3 เกวียน เพราะฤดูที่แล้วผมใช้ปุ๋ยและยาเคมีเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก
ซึ่งเปรียบเทียบแล้วค่าใช้จ่ายทั้ง 2 ฤดูกาลแตกต่างกันดังนี้”
รายละเอียด |
วิธีการทำนาแบบเดิม |
วิธีการทำนาแบบใหม่ |
ส่วนต่างที่เกิดขึ้น |
ค่าเมล็ดพันธุ์ |
3,000 |
3,000 |
|
ค่าน้ำมัน |
3,200 |
3,200 |
|
ค่ายาคุมหญ้า+ฆ่าหอย |
4,000 |
2,000 |
2,000 |
ค่ายาฆ่าแมลง |
40,000 |
- |
|
ค่ารถเกี่ยว |
7,000 |
7,000 |
|
ค่าขนข้าวไปขาย |
2,200 |
2,200 |
|
ค่าปุ๋ยเคมี |
9,375 |
3,750 |
5,625 |
ค่าวัสดุทำปุ๋ยน้ำหมัก |
- |
1,000 |
|
รวมรายจ่าย |
68,775 |
22,150 |
|
ได้ข้าว |
25 เกวียน |
22 เกวียน |
3 เกวียน |
ขายเกวียนละ |
4,750 บาท |
4,750 บาท |
|
มีรายได้ทั้งหมด |
11,8750 |
10,4500 |
|
รายเหลือ |
49,475 |
82,350 |
32,875 |
นั่นคือสิ่งที่กลุ่มนักเรียนชาวนาเล่าให้ฟังด้วยสีหน้าที่เปื้อนยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะที่ดังเป็นระลอกๆ เหมือนจะบอกเป็นนัยว่า เกษตรแบบปลอดสารเป็นทางออกที่พวกเขาพยายามค้นหากันมานานกว่าสามปี
เรียนรู้อะไรในโรงเรียนชาวนา
เมื่อเข้ามาสู่กระบวนการเรียนรู้ของโรงเรียนชาวนา
องค์ความรู้ที่เขาจะได้คือการเรียนรู้การทำเกษตรปลอดสารพิษ
ที่เมื่อทำแล้วเขาจะได้ สิ่งแวดล้อมที่ดีกลับคืนมา สุขภาพกาย
สุขภาพจิตเกษตรกรดีขึ้น มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น
ลดต้นทุนการผลิตไม่ต้องซื้อปุ๋ยซื้อยาอีกต่อไป
ได้เรียนรู้การทำงานเป็นกลุ่ม เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูล
สร้างปฏิสัมพันธ์ของเกษตรกรที่เคยมีในอดีตกลับคืนมา
ทำให้กลุ่มเกิดความรักสามัคคีในหมู่คณะ
เกษตรกรจะเกิดความผูกพันกันภายในกลุ่ม
เกิดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอยู่เป็นประจำ
และจากการมีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประจำ
ทำให้เกษตรกรมีความรู้สึกเข้าใจมากขึ้น
ซึ่งได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริงทำให้เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจที่จะ
ลด ละ เลิกสารเคมีได้อย่างเด็ดขาด
ขณะเดียวกันเมื่อทำแล้วพวกเขาก็พบปัญหาว่า นักเรียนที่มีอายุตั้งแต่
45 -60 ปีไม่ค่อยเชื่อฟังกลุ่มมีการใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลงในอัตราสูง
เนื่องจากยังไม่มีความมั่นใจว่าจะได้ผลจริงๆ
นอกจากนั้นร้านค้าปุ๋ยและยาฆ่าแมลงในตำบลหนองตางูได้รับความเดือดร้อนเพราะยอดขายตก
ทำให้ผู้ที่ไม่มีเงินสดไปซื้อปุ๋ยทางร้านค้าจะไม่ยอมให้เชื่อถ้าต้องเชื่อต้องเอายาเคมีไปด้วย
นอกจากนั้นผู้ที่เช่านาเถ้าแก่มีปัญหาเพราะเถ้าแกบังคับให้ซื้อปุ๋ยและยาเคมีถ้าไม่ใช้ปุ๋ย
+ ยาเคมี จะไม่ให้เช่านา
ยกตัวอย่างแนวทางแก้ไข สำหรับกลุ่มตำบลหนองตางู
ได้แก้ไขปัญหาด้วยการนำเงินกองทุนมาซื้อปุ๋ยแทน ซึ่งทุกคนเห็นว่า
เมื่อไม่มีรายจ่ายค่าปุ๋ยค่ายาเวลาขายข้าวเงินก็เหลือมากอยู่แล้ว
และช่วยกันแนะนำสมาชิกในกลุ่มให้ใช้จ่ายอย่างประหยัดไม่ต้องยึดนายทุนเป็นที่พึ่งต่อไป
ชาวนาจะมีเงินเหลือมากขึ้น
และจะพยายามช่วยเหลือกลุ่มชาวนาที่อ่อนแอให้มาเข้าร่วมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือกันต่อไป
ขยายเครือข่าย :
คืบคลานเหมือนใยแมงมุม
ปัจจุบันโรงเรียนชาวนานครสวรรค์ได้ขยายเครือข่ายครบทั้ง 30 แห่ง ใน 16
ตำบล 9 อำเภอ คือ เก้าเลี้ยว บรรพตพิสัย โกรกพระ ลาดยาว ไพศาลี
หนองบัว ท่าตะโก ชุมแสง และอำเภอเมือง
ซึ่งปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้สามารถขยายเครือข่ายได้ง่ายขึ้นคือการสนับสนุนจากนโยบายระดับจังหวัดที่จัดสรรให้มีเงินก้นถุงสำหรับเป็นจุดเริ่มของการทำโรงเรียนชาวนาราว
45,000 บาท เพื่อเป็นทุนบริหารจัดการกลุ่มและกองทุนปุ๋ยชีวภาพ
การขยายเครือข่ายโรงเรียนชาวนานครสวรรค์นั้น
เป็นลักษณะของการเคลื่อนไปตามช่องทางต่าง ๆ ของภาคี
ทั้งกลุ่มนครสวรรค์ฟอรั่มเอง มหาวิทยาลัยราชภัฎนครสวรรค์
และศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน(กศน.)นอกจากนี้ช่องทางที่มีประสิทธิภาพ
คือการขยายโดยนักเรียนชาวนาเอง
ที่เห็นเพื่อนทำสำเร็จก็อยากลองทำดูบ้าง
กลุ่มนักเรียนชาวนาจึงขยายเพิ่มขึ้นโดยมีระบบ
“พี่สอนน้อง-ศิษย์เก่าก็สอนศิษย์ใหม่”
ขณะเดียวกันก็เข้มข้นกับการเรียนที่ต้องมีระบบจัดการที่ทุกคนกำหนดและต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
ดังตัวอย่างของโรงเรียนชาวนาหนองตางู ที่อำเภอบรรพตพิสัย
ชุมชนนักปฏิบัติ :
ผลประโยชน์ร่วมของทุกฝ่าย
จากวิสัยทัศน์ของผู้นำในระดับจังหวัดที่เอื้อให้เกิดการขยับเขยื้อนของเครือข่ายโรงเรียนชาวนานครสวรรค์
เกิดกิจกรรมโรงเรียนชาวนาที่กระตุ้นและปลุกเร้าให้ชาวนานครสวรรค์ได้ปรับเปลี่ยนวิถีการทำนาแบบเดิมสู่การทำนาที่ต้นทุนต่ำ
รายได้เพิ่ม สุขภาพดี ดังที่นักเรียนชาวนารุ่นพี่อย่างคุณสมชาย
บอกว่า “ฟ้าลิขิตให้ผมเป็นชาวนา และทำไมผมจะทำนาแบบสบาย ๆ
รายได้ดี มีเงินซื้อโน่น ซื้อนี่
(ตั้งเป้าว่าในฤดูกาลนี้จะซื้อรถ forjurner)จะโก้บ้างไม่ได้หรือ
ชาวนาอย่างผมไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อมอซอตากแดดตัวดำหรอก”
เครือข่ายโรงเรียนชาวนานครสวรรค์คือการขยายจุด/กลุ่มเล็ก ๆ
ของชาวนาที่มีทุนเดิม(ความรู้/ภูมิปัญญา)
และใช้กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ร่วมเรียนรู้ปฎิบัติร่วมกัน
จนเกิดความรู้เฉพาะขึ้นภายในกลุ่มและแสวงหาความรู้เพิ่มจากภายนอก
จากการเรียนรู้ดูงาน หรือการสอนจากผู้เชี่ยวชาญ
แต่ทั้งหมดจะได้ผลหรือไม่ขึ้นอยู่การเลือกใช้ของเกษตรกรว่าอะไรเหมาะกับตัวเอง
และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จนเป็นนิสัยจึงก่อให้เกิดเครือข่ายที่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย
ๆ ทั้งวงของเกษตรกรเอง
วงของผู้สนับสนุนอย่างกลุ่มนครสวรรค์ฟอรั่มที่ประกอบด้วยนายแพทย์
นักพัฒนา นักการศึกษา
และกำลังขยายความร่วมมือไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่จะเข้ามาหนุนเสริมการเรียนรู้ของโรงเรียนชาวนาต่อใป
ขณะที่ในวงของคุณเอื้อ
นโยบายระดับจังหวัดก็เห็นรูปธรรมของกลุ่มชาวนารุ่นใหม่ที่จะผลิตข้าวคุณภาพดี
ปลอดโรค ปลอดภัย ป้อนตลาดและทำให้
นครสวรรค์กลางเป็นศูนย์กลางค้าข้าวแหล่งใหญ่ของประเทศได้ในที่สุด
และนี่คืออนาคตของเครือข่ายโรงเรียนชาวนานครสวรรค์ที่กำลังขับเคลื่อนไปอย่างเห็นเป้าหมายที่อยู่ไม่ไกล
ขณะเดียวกันก็ได้รับการตอบรับและร่วมมืออย่างดีจากภาคเอกชน(พ่อค้าข้าว)ที่จะเข้ามาสนับสนุนชาวนานครสวรรค์อีกแรงกับการบุกเบิกตลาดไว้รองรับและการันตีราคาหาก
“ข้าว”ที่ได้คือสินค้าคุณภาพ.
นพ.สมพงษ์ ยูงทอง
กลุ่มนครสวรรค์ฟอรั่ม (เครือข่ายโรงเรียนชาวนานครสวรรค์)
นายแพทย์ศัลยกรรมประสาท
รพ.สวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์
E_mail [email protected]
ไม่มีความเห็น