สวัสดีท่านผู้อ่าน ห่างหายไปนานพอสมควร หวังว่าท่านผู้อ่านที่เคยติดตามผลงานเขียนคงยังไม่ห่างหายกันไป ช่วงระยะเวลาที่ห่างหายไปเพราะติดภาระกิจในด้านการเรียน ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่ร่ำเรียนหนักพอสมควร
เหตุการณ์บ้านเมืองของเราในระยะนี้ต้องติดตามอย่ากระพริบตา และไม่อยากที่จะกล่าวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น คือ วิกฤต เพราะอาจเป็นการซ้ำเติมความบอบช้ำของประเทศชาติ
ณ วันนี้ประเทศมิได้วิกฤตอย่างที่เราคิด ที่วิกฤตนั้นคือ คน เราจะยอมให้คนพาลมาแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตัวเองพ้นผิดหรือ หรือการที่คนผู้มีอำนาจสูงสุดในฝ่ายบริหารชอบตะแบงแบบเอาขี้ข้างเข้าถูหรือ
ความวัวไม่หันหายความ...........ก็มาแทน ปัญหาการเมืองที่ยังไม่มีทางออก ปัญหาเศรษฐกิจก็เข้ามาแทรก ไม่ว่าจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ปัญหาอัตราเงินเฟ้อ และ ปัญหาราคาน้ำมันแพง แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการ “6 เดือน 6 มาตรการ” แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงแค่การแก้ปัญหาแบบ ใช้ “ยาหม่อง” ทาแผลฉกรรจ์
อย่างไรก็ตามมีการวิเคราะห์จากกูรูทางเศรษฐกิจ อย่างเช่น ดร.โกร่ง ( นายวีรพงษ์ รามากูร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง) กล่าวว่าปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในขณะนี้มีปัจจัยจาก “อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น”
เงินเฟ้อ หรือ Inflation ในทางเศรษฐศาสตร์ หมายความว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีราคา (Price Index) ซึ่งหมายถึงภาวะสินค้าราคาแพงขึ้น อธิบายเป็นภาษาชาวบ้านๆ คือ ราคาสินค้าในท้องตลาดแพงขึ้นแต่เรากลับมีเงินเท่าเดิม
ปัจจัยหลักที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มมากขึ้น คือ ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าต้องปรับตัวสูงขึ้น จนเกิดเป็นวัฎจักรลูกโซ่ที่ส่งกระทบต่อประชาชนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า คือ ต้องบริโภคสินค้าในราคาที่แพง ทั้ง ๆ ที่จำนวนในกระเป๋าสตางค์ยังคงมีเท่าเดิม เห็นทีว่าคงต้องขุดสมบัติเก่าขึ้นมาใช้กันหากเกิดการชักหน้าไม่ถึงหลัง
ซ้ำร้ายเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2551 คณะกรรมการกำกับดูแลการเงินธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25 โดยให้เหตุผลว่า “เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ” ในแง่มุมของการลงทุนนั้นอาจลดความเสี่ยงได้ แต่ในแง่ชีวิตจริงอาจเป็นความซวยแบบทับซ้อน เพราะแค่ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันยังชักหน้าไม่ถึงหลัง ยังมาเจออัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้นอีก จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ
ทางออกของปัญหาคืออะไร รัฐบาลได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาโดยกำหนดนโยบาย 6 เดือน 6 มาตรการ 1.ลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน 2. ชะลอการปรับราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ในภาคครัวเรือน 3. ลดค่าใช้จ่ายน้ำประปาของครัวเรือน 4. ลดค่าใช้จ่ายไฟฟ้าของครัวเรือน 5. ลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง 6. ลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น 3 เป็นระยะเวลารวม 6 เดือน โดยเริ่มต้นไม่เกินวันที่ 1 สิงหาคม 2551 และ สิ้นสุดในวันที่ 31 มกราคม 2552 ในระยะสั้นอาจส่งผลดีต่อประชาชนในภาวะที่ ข้าวยากน้ำตาลแพงซึ่งเป็นผลมาจากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น แต่ประเด็นที่ต้องคิดต่อไปในอนาคต คือ ถ้าหากราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงสูงขึ้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะลดต่ำลงรัฐบาลจะทำอย่างไร
นโยบายดูดีแต่แก้ไม่ถูกจุดเกาไม่ถูกที่มันก็คงต้องคันอยู่ดี ปัญหาอัตราเงินเฟ้อนั้นแก้ได้ด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามหลักเศรษฐศาสตร์ หรือ บรรเทาวิกฤตเฉพาะหน้าแบบลดแลกแยกแถมก็จริงอยู่ แต่อย่างไรก็ตามอัตราเงินเฟ้อมีแนวโม้นขยับตัวเพิ่มสูงขึ้นแล้ว เนื่องด้วยราคาน้ำมันทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าสูงขึ้น ประชาชนต้องบริโภคสินค้าราคาที่แพง เป็นปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อนั้นปรับเพิ่มขึ้น แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตรการ 6 เดือน 6 มาตรการ ก็เป็นเพียงแค่การบรรเทาเท่านั้น ในอนาคตประชาชนอาจยังต้องเผญิชกับฝันร้ายที่วันนี้ถูกใครเอามือมาป้องไว้ก็เท่านั้น
แก้สิ่งใดต้องแก้ที่เหตุ ปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นจนส่งผลต่อการ ดำรงชีพของประชาชนเกิดจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งราคาน้ำมันประเทศไทยไม่สมารถกำหนดเองได้ ดังนั้นการวางแผนบริหารจัดการพลังงาน การหาพลังงานทางเลือก การรณรงค์ให้เกิดการใช้พลังงานอย่างประหยัด จะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง ณ วันนี้เหมือนรัฐบาลจะเมาหมัด จะเกาหลังก็เกาผิดที่เหนื่อยใจยิ่งนัก อย่างไรก็ขอเชิญชวนให้ผู้อ่านร่วมกันประหยัด และดำรงชีวิตด้วยเศรษฐกิจพอเพียง เราจึงจะฝ่าวิกฤตนี้ไปได้
อาทิตย์นี้คงพอเท่านี้ก่อน พบกันใหม่อาทิตย์หน้า
วิกฤติของชาติในวันี้เกิดจากบรรดานักการเมือง
ที่ขาดความรับผิดชอบต่อผลประโยชน์ของชาติ
และประชาชน..รัฐบาลไม่ได้ตั้งใจที่จะแก้ปัญหาของชาติ
แต่กับไปปกป้องผลประโยชน์ของตนและพวกพ้อง
จัดสรรตำแหน่งเพื่อจะรักษาอำนาจผลประโยชน์เล่นพรรค
เล่นพวก..ปัญหาต่างๆเกิดมาจากการโกงกินของนักการเมืองอย่างไม่เกรงกลัวบาปด้วยความโลภโมโทสัน..
อนุโมนาสาธุ
เราต้องช่วยกัน ช่วยเหลือตัวเอง เพราะเราคง พึ่งรัฐบาลไม่ได้