ใครที่ชอบอ่านเรื่องเกี่ยวกับพระราชวงศ์น่าจะชอบหนังสือ “เบื้องหน้าเบื้องหลังบัลลังก์อังกฤษ” เพราะผู้เขียนรวบรวมเกร็ดประวัติศาสตร์มาเล่าสู่กันฟังให้อ่านง่ายๆ ชวนติดตาม เจาะลงรายละเอียดก็ตั้งแต่ยุควิกตอเรียนจนถึงควีนอลิซาเบธที่ ๒
นักอ่านรุ่นหลังๆ จะได้เพลิดเพลิน ตื่นตะลึงในเรื่องราวเบื้องหลังพระราชวงศ์ เราจะพบว่าแท้จริงแล้วความเป็นกษัตริย์ความเป็นพระราชวงศ์นั้นท่านก็มีความเป็น “ปุถุชน” เช่นเราๆ ท่านๆ มีรัก โลภ โกรธ หลง อยู่เบื้องหลังการกระทำทั้งหลายทั้งปวง อย่างเช่นการสละราชบัลลังก์ของกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ ๘ เพื่อหญิงที่พระองค์รัก เราอาจจะเข้าใจได้ยากว่าคนที่เกิดมาด้วยบุญญาธิการอันสูงส่งเพื่อเป็นกษัตริย์จะยอมทิ้งหน้าที่เพื่อหญิงม่ายที่ผ่านการมีสามีมาแล้ว ๒ คนได้อย่างไรกัน การตัดสินใจเลือกระหว่าง “หน้าที่กับความรัก” ไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะหน้าที่ของกษัตริย์ บางคนเห็นใจและเข้าใจ บางคนชิงชังหญิงอเมริกันคนนั้น เหมือนที่ฉันเคยรู้สึกในสมัยที่ได้อ่านเรื่องของท่านตอนอายุน้อยๆ แต่เมื่อได้กลับมาอ่านอีกครั้ง ก็สามารถเข้าใจได้ด้วยมุมที่ไม่เคยมองมาก่อน
เราจะได้เห็นความเป็น “ธรรมดา สามัญ” ผ่านเรื่องราวของผู้อยู่ในฐานะอันสูงส่งที่เราสัมผัสไม่ถึง จากหนังสือเล่มนี้
และทุกครั้งที่ได้อ่านเรื่องของควีนวิกตอเรีย ก็หลงรักท่านทุกคราวไป ในความเป็นผู้หญิงที่ “เฉลียวฉลาด น่ารัก เป็นผู้หญิง ที่ทั้งอ่อนหวาน และเข้มแข็ง เป็นทั้งเมีย และแม่ที่แสนดี”
เรื่องของท่านถูกเขียนถึงมากและส่วนใหญ่เป็นด้านดีๆ เป็นเพราะท่านทรงชอบบันทึก เรื่องส่วนพระองค์ที่คนรุ่นหลังได้รู้ล้วนมาจากสิ่งที่ท่านเล่าไว้เอง จากบันทึกประจำวันที่ทรงเขียนตลอดพระชนม์ชีพ กับจดหมายที่ทรงเขียนถึงพระญาติสนิทคือ พระเจ้าเลโอโปลด์ที่ ๑ กษัตริย์แห่งเบลเยี่ยม ซึ่งเป็นลุงแท้ๆ และที่น่ารักก็คือ จดหมายที่ทรงเขียนถึงกันและกันระหว่างพระองค์ท่านกับพระสวามี เวลาที่ทรง “งอน” กัน
ขอเล่าสั้นๆ เรื่องของท่านสักนิดค่ะ
ควีนวิกตอเรียเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์นานมากถึง ๖๔ ปี จนใครๆ เรียกรัชสมัยของท่านว่า “ยุควิกตอเรียน”(เทียบกับสมัยรัชกาลที่ ๓ ของเรา ถึงรัชกาลที่ ๕ – ถ้าจำผิดช่วยทักท้วงด้วย) ตลอดรัชสมัยของท่านอังกฤษมีแต่ความรุ่งเรือง สงบสุข ท่านจึงเป็นกษัตริย์อันเป็นที่รักทั้งของประชาชนอังกฤษและพระราชวงศ์ต่างๆ ทั่วยุโรป
ถ้านับเฉพาะกษัตริย์ที่เป็นสตรี ท่านทรงเป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษที่สร้างความรุ่งเรื่องให้แก่อังกฤษอีกพระองค์หนึ่งนับจากพระนางเจ้าอลิซาเบธที่ ๑ ซึ่งขึ้นครองราชย์เมื่อ ๒๗๙ ปี ก่อนพระองค์ (อลิซาเบธที่ ๑ เป็นพระราชธิดาของพระเจ้าเฮ็นรี่ที่ ๘ กับพระนางแอน โบลีน ผู้อื้อฉาว– ได้เล่ามาบ้างแล้ว)
จริงๆ แล้วพระองค์อยู่ห่างไกลลำดับการสืบสันตติวงศ์มาก คือ ทรงเป็นพระราชธิดาของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ซึ่งเป็นพระโอรสองค์ที่ ๕ ของกษัตริย์จอร์ชที่ ๓ ซึ่งพระโอรสของท่านได้ขึ้นครองอังกฤษ ๒ พระองค์คือ จอร์ชที่ ๔ (พระโอรสองค์โต) และ วิลเลียมที่ ๔ (พระโอรสองค์ที่ ๔) กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ไม่มีรัชทายาทเหลืออยู่ เมื่อสิ้นกษัตริย์วิลเลี่ยมที่ ๔ หากเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด พระราชบิดาของท่านยังมีพระชนม์อยู่ก็จะได้เป็นกษัตริย์ เมื่อไม่มีเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด พระราชธิดาพระองค์เดียวคือ เจ้าหญิงวิกตอเรียจึงได้เป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษสืบแทน
บันทึกทางประวัติศาสตร์บอกว่า ท่านทรงทราบว่าเป็นรัชทายาทของอังกฤษเมื่อพระชนม์ ๑๒ ชันษา พระบิดาสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ท่านอายุ ๘ เดือนเท่านั้น พระมารดาของท่านคือเจ้าหญิงวิกตัวร์จากแคว้นเล็กๆ ในเยอรมัน เป็นพระมารดาที่เข้มงวดกับลูกมากจนกระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกร้าวฉาน และขาดสะบั้นลงเมื่อเจ้าหญิงขึ้นครองราชย์และประกาศไม่ให้พระมารดายุ่งเกี่ยวกับพระองค์อีกต่อไป
ควีนวิกตอเรียทรงครองราชย์เมื่อพระชนม์ ๑๘ ชันษากับ ๑ เดือน ผ่านอายุที่จะต้องมีผู้สำเร็จราชการไปพอดี จึงทรงเป็นกษัตริย์ที่มีอำนาจเต็มในการปกครอง เมื่อแรกครองราชย์บันทึกของบุคคลต่างๆ มักพูดถึงท่านด้วยความชื่นชม และ “คาดไม่ถึง” ว่า เจ้าหญิงจะทรงวางพระองค์ได้สง่างาม เชื่อมั่น และเฉลียวฉลาด
ตลอดพระชนม์ชีพพระองค์ทรงมี “ผู้ชาย” ที่ “ทรงติดแจ” หลายคน นับตั้งแต่ ลอร์ดเมลเบิร์นนายกรัฐมนตรี วัย ๕๘ ปีเมื่อทรงครองราชย์ใหม่ ลอร์ดเอ็มเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดี ถวายคำปรึกษาตั้งแต่เรื่องราชการไปจนถึงเรื่องส่วนพระองค์ ท่าน “ทรงติดแจ” และ “เชื่อฟัง” ลอร์ดเอ็มทุกเรื่อง ทรงเล่าเองว่าวันไหนไม่เห็นหน้าจะทรงหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ไปทุกเรื่อง ในบันทึกประจำวันช่วงที่ครองราชย์ใหม่ๆ มีแต่ชื่อลอร์ดเอ็มว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ ตอนหนึ่งท่านบันทึกว่า “เรารู้สึกแย่มากๆ ที่ไม่เห็นลอร์ดเอ็มมาร่วมงาน...”
สะท้อนว่าทรงต้องการพึ่งพาทางจิตใจจากชายสูงวัยผู้นี้อย่างมาก แต่เมื่อทรงพบกับเจ้าชายอัลเบิร์ตนั่นแหละ ลอร์ดเอ็มจึงค่อยๆ ห่างออกไป
ควีนวิกตอเรียและเจ้าชายอัลเบิร์ตเป็นเจ้าชายเจ้าหญิงที่สนิทเสน่หากันอย่างมากตั้งแต่แรกพบหน้ากัน เสกสมรสใช้ชีวิตร่วมกัน และกระทั่งเจ้าชายสิ้นพระชนม์ไปก่อน ควีนวิกตอเรียทรงจมอยู่กับความเศร้านานนับปี และทรงฉลองพระองค์สีดำไปจนตลอดพระชนม์ชีพ สะท้อนถึงความรักที่ลึกซึ้ง เราจะไม่ค่อยได้อ่านเรื่องราวความรักของกษัตริย์เช่นนี้มากนัก ทั้งนี้เพราะการแต่งงานของเจ้าชายเจ้าหญิงในยุคก่อนนั้นเป็นเรื่อง “หน้าที่ และการเมือง” ล้วนๆ โดยเฉพาะเจ้าชายเจ้าหญิงที่ขึ้นครองราชย์ยิ่งต้องผ่านความเห็นชอบจาก “คนอื่นๆ” ยกเว้นเจ้าตัวเอง (เฮ่อ...น่าสงสารจัง) พูดได้ว่าจะไม่มีการแต่งงานที่เกิดจากความรักอย่างแท้จริง ยกเว้นคู่นี้
เจ้าชายอัลเบิร์ต เป็นโอรสองค์ที่ ๒ ของดยุคเออร์เนสต์ เจ้าผู้ครองแคว้นเล็กๆ ชื่อ ซักส์-โคบวร์กและโกธา ของเยอรมัน ท่านดยุคเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเจ้าหญิงวิกตัวร์พระมารดาของควีนวิกตอเรีย ดังนั้นเจ้าชายอัลเบิร์ตจึงเป็นพระญาติสนิทมีศักดิ์เป็น “ลูกพี่” เจ้าชายอายุอ่อนกว่าควีน ๓ เดือน
เจ้าชายพบเจ้าหญิงครั้งแรกเมื่อพระชนม์ ๑๗ ชันษา เจ้าชายเขียนบันทึกว่า “พระญาติสาวของเรางดงามน่ารักมาก...” ฝ่ายเจ้าหญิงบันทึกว่า “ชายอัลเบิร์ตเป็นคนดีมาก อ่อนหวาน ฉลาดเฉลียว และหล่อเหลือเกิน...”
อีก ๓ ปีต่อมา ทรงพบกันอีกครั้ง เมื่อเจ้าหญิงเปลี่ยนสถานะเป็นกษัตริย์แห่งอังกฤษไปแล้ว คราวนี้เป็นการพบกันเพื่อที่ “ควีน” จะได้ทรง “ขอแต่งงาน” กับเจ้าชายที่ทรงรัก อยากรู้ว่าทรงขอแต่งงานอย่างไรต้องไปอ่านเองค่ะ
ทั้งสองพระองค์ครองคู่ด้วยความรัก มีพระโอรส ๔ พระองค์ พระธิดา ๕ พระองค์ ราชวงศ์ต่างๆ ในยุโรปล้วนมีความเกี่ยวดองเป็นพระญาติสืบจากท่าน รวมทั้งควีนอลิซาเบธที่ ๒ และเจ้าชายฟิลิป พระสวามี ทั้ง ๒ พระองค์เป็น “ลูกของเหลน” ของควีนวิกตอเรียน
เจ้าชายอัลเบิร์ตสิ้นพระชนม์ด้วยโรคไทฟอยด์ เมื่อพระชนม์ ๔๒ ชันษา
ควีนวิกตอเรียทรงดำรงพระชนม์ชีพต่อมาอย่างเดียวดายเมื่อไร้เจ้าชายผู้เป็นที่รักนานถึง ๔๐ ปี ก่อนที่จะเสด็จสวรรคตเมื่อพระชนม์ ๘๒ ชันษา ท่ามกลาง “เสียงระงมร่ำไห้ของพสกนิกรชาวอังกฤษ”
๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๑
อ่านเพิ่มเติมได้จาก
หมอนนที่รัก อีกวันสองวันนะ จะกลับไปหยิบหนังสือ ๒ เล่มที่ว่าที่บ้านโน้น แล้วมาเล่าคำต่อคำเชียวละ เล่าปากเปล่าเดี๋ยวจะเพี้ยน เอ ทำไมถึงอยากรู้เฉพาะตอนนี้ล่ะ สังสัยจัง บางทีถ้าไม่เกียจคร้านมาก จะเล่าเกร็ดน่ารักๆ แถมด้วย
เล่าเรื่อง “ขอแต่งงาน” ตามที่หมอนนขอไว้นะคะ
วันที่ ๑๕ ตุลาคม ค.ศ. ๑๘๓๙ วันสำคัญของควีน เพราะถึงเวลาที่จะทรง “ขอแต่งงาน” กับเจ้าชายในดวงใจของพระองค์เสียที ด้วยเหตุที่ตามประเพณีปฏิบัตินั้นพระราชินีนาถแห่งอังกฤษจะต้องเป็นผู้ขอผู้ชายแต่งงานด้วยพระองค์เอง ฝ่ายชายจะเป็นผู้ขอไม่ได้
ทรงบันทึกไว้ว่า “เราเริ่มพูดกับชายอัลเบิร์ตว่า...พระองค์คงทรงทราบดีว่าเหตุใดหม่อมฉันจึงขอพบพระองค์ในวันนี้ หม่อมฉันดีใจเป็นที่สุดที่พระองค์เสด็จมาตามที่หม่อมฉันทูลเชิญไป และหม่อมฉันจะยิ่งดีใจอย่างหาที่เปรียบมิได้หากพระองค์จะทรงยอมรับว่าจะสมรสกับหม่อมฉัน...” (เบื้องหน้าเบื้องหลังบัลลังก์อังกฤษ , หน้า ๙๕-๙๖)
เป็นการขอแต่งงานที่เป็นทางการยิ่งของพระราชินีนาถแห่งอังกฤษ เท่าที่เราเคยรู้มา (เพราะยังไม่เคยมีพระองค์ใดเล่าให้เราฟังมาก่อน)
หลังจากเหตุการณ์คืนนั้นผ่านไป ทรงเก็บเป็น “ความลับ” ส่วนพระองค์อย่างมิดชิด จากนั้นไม่นานก็ถึงเวลาที่จะประกาศเป็นทางการ ทรงเรียกประชุมองคมนตรีในวันที่ ๒๓ พ.ย. ทรงมีพระราชดำรัสด้วยพระพักตร์เข้มจัดด้วยความเขินอายอย่างยิ่งต่อคณะองคมนตรีที่เป็นผู้ชายเต็มห้องประชุมว่าจะทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอัลเบิร์ต แห่งซักส์ โคบวก โกธา ทรงบอกเหตุผลของการอภิเษกสมรสว่า เพราะ “มีความสำคัญต่อประเทศชาติและเป็นความสุขส่วนพระองค์ในกาลข้างหน้า”
วันถัดมา ดัชเชสออฟกลอสเตอร์ “สมเด็จอา” เสด็จมาเฝ้าเพื่อแสดงความยินดีและ “เห็นใจ” ที่ “หลานสาว” ของท่านจำต้องประกาศการแต่งงานต่อหน้าองคมนตรีชายล้วนทั้งคณะเช่นนั้น ทรงตอบสมเด็จอาว่า ทรง “ลำบากใจน้อยกว่าตอนขอแต่งงานเสียอีก”
ช่างน่าเห็นใจท่านจริงๆ เล่าแค่นี้ก่อนนะคะ