ที่จริงหนังสือเล่มนี้เขาเขียนสำหรับ นศ. ปริญญาตรีและพ่อแม่ และคำแนะนำที่สำคัญที่สุดคือ ให้หาทางเข้าไปเรียนในสถาบันอุดมศึกษาที่เป็น Learning Community สถาบันอุดมศึกษาไทยจึงน่าจะถามตัวเองว่า ตนเองเป็น “ชุมชนเพื่อการเรียนรู้” หรือเปล่า เป็น “ชุมชนเพื่อการเรียนรู้” ที่ดีหรือเปล่า เป็น “ชุมชนเพื่อการเรียนรู้” ที่ดีสำหรับนักศึกษาแบบไหน
เรื่องนี้เข้าใจว่าบรรยากาศใน สรอ. กับในประเทศไทยต่างกันแบบตรงกันข้าม ใน สรอ. ผู้คนมีวัฒนธรรมตัวใครตัวมัน ไม่จับกลุ่มกันเรียน ในขณะที่ในสังคมไทยเราจับกลุ่มกันแน่นแฟ้นมาก แต่อาจไม่เน้นจับกลุ่มกันเพื่อเรียน แต่เพื่อทำกิจกรรม สถาบันอุดมศึกษาอเมริกันหลายแห่งจึงจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบให้ นศ. จับกลุ่มกัน เขาถือเป็นการปฏิรูปอุดมศึกษาอย่างหนึ่ง อ่านได้ที่ www.evergreen.edu/washcenter/home.asp
ทำให้ผมระลึกชาติกลับไปปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ตอนที่ผมเรียนแพทย์ที่ศิริราช ปี ๓ (ตอนนั้นเราถือว่าการเรียนแพทย์มี ๔ ปี นับหลังข้ามฟากไปแล้ว ตอนเรียนวิทยาศาสตร์ที่จุฬาฯ ๒ ปี เราไม่นับรวมเข้าไป เรียกว่าเรียนเตรียมแพทย์) ซึ่งนับเป็นปีแรกที่ “ขึ้น วอร์ด” ศึกษาจากการร่วมดูแลผู้ป่วย ที่ วอร์ด อายุรกรรมหญิง ๑ มี นศพ. ประมาณ ๑๐ คน (จำตัวเลขจริงไม่ได้) โดยที่การจับกลุ่มจัดตามตัวอักษรของชื่อ เราเป็นกลุ่ม ว แหวน ที่จำได้ก็มี วลี วิเชียร วิชัย วิจารณ์ วีรพงศ์ วีรวิทย์ เราจับกลุ่มกัน ผลัดเปลี่ยนกันเอารายละเอียดของผู้ป่วยของ นศพ. แต่ละคนมานำเสนอต่อเพื่อนในกลุ่ม พร้อมทั้งทบทวนความรู้สำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วย ทำให้การเรียนรู้สนุกมาก และเป็นการผ่อนแรง เพราะเราไม่ต้องอ่านเองทุกเรื่อง นอกจากนั้นบางทีเราอ่านเองเราตีความหมายผิด การได้ ลปรร. กับเพื่อนๆ ทำให้เราได้แก้ความเข้าใจผิดได้ด้วย ผมระลึกชาติวิธีเรียนแบบสร้างชุมชนเพื่อการเรียนรู้เล็กๆ ขึ้นเอง
เรื่องวิธีเรียนนี้น่าจะเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับมหาวิทยาลัยไทย ที่เวลานี้บ่นกันว่านักศึกษาจำนวนหนึ่ง (มากขึ้นกว่าเดิมมาก) เข้ามหาวิทยาลัย แต่ไม่เอาใจใส่การเรียน ไม่ขวนขวาย ผมมองว่ามหาวิทยาลัยต้องจัดการแนวใหม่ คือจัดการเรียนรู้ให้นักศึกษารู้จักตัวเอง เกิดแรงบันดาลใจจากภายใน (inspiration) แล้วนักศึกษาก็จะขวนขวายเรียนรู้เอง โดยมหาวิทยาลัยต้องจัดการเรียนรู้ให้สนุก มีกิจกรรมเยอะๆ ไม่ใช่เน้นการเล็คเช่อร์ที่น่าเบื่อหน่าย
หนังสือเล่มนี้แนะนำนักศึกษาอเมริกัน ว่ามีสิ่งที่ควรตรวจสอบมหาวิทยาลัยในเรื่อง “สอนดี” อยู่ ๕ ประการ ดังนี้
๑. ขนาดของชั้นเรียน อย่าหลงเชื่อตัวเลขสัดส่วนจำนวนอาจารย์ต่อนักศึกษาที่ดูดี แต่จริงๆ แล้วอาจารย์ส่วนใหญ่ไม่ได้เอาใจใส่การสอน และมหาวิทยาลัยจัดชั้นสอนที่มีขนาดใหญ่มาก ชั้นเรียน ๒๕๐ กับ ๒๕ คน มีผลต่างกันมากในเรื่องความเอาใจใส่ของอาจารย์ต่อ นศ. แต่ละคน
๒. เลือกมหาวิทยาลัยที่สอนการวิจัยสำหรับ นศ. ปริญญาตรี และมีกิจกรรม/โครงการสำหรับ นศ. เรียนเด่น การได้ทำกิจกรรมวิจัยจะช่วยการเรียนรู้ให้เข้มข้น การมีกิจกรรมสำหรับ นศ. ที่เรียนเด่นเฉพาะด้าน ที่ฝรั่งเรียกว่า capstone project ช่วยให้ นศ. ได้ลองประยุกต์ใช้ความรู้ที่ตนเรียน ให้ “รู้จริง”
๓. เลือกมหาวิทยาลัยที่มีชั้นเรียนเข้มข้นพิเศษ ที่เรียก honors college ทำให้ได้เพื่อนที่ตั้งใจมุ่งมั่นเรียน ชั้นเรียนตั้งมาตรฐานสูง ไม่ใช่แค่สอบผ่าน แต่มุ่งเรียนเลิศ คือ “รู้จริง”
๔. เลือกมหาวิทยาลัยที่มีกิจกรรม แนะแนว/ให้คำปรึกษา คุณภาพสูง ที่ดีที่สุดคือมีตัวอาจารย์เองให้คำปรึกษา เน้นอาจารย์ในสาขาวิชาเอกของ นศ. ผู้นั้นเอง ผมมองว่า ถ้ามหาวิทยาลัยใดโฆษณาว่า นศ. จะได้รับ lifetime mentor จากมหาวิทยาลัย น่าจะเป็นการสร้างชื่อเสียง โดยที่ mentor นี้เน้นการให้คำปรึกษาเรื่องโอกาส ไม่ใช่เน้นปัญหา นักศึกษาควรได้รับการกระตุ้นให้ดำเนินชีวิตด้วยโอกาส ไม่ใช่ดำเนินชีวิตอยู่กับการแก้ปัญหา
๕. พิจารณาหลักสูตร ๓ + ๒ ซึ่งหมายถึงเข้าเรียนในวิทยาลัยศิลปศาสตร์ ๓ ปี แล้วไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ที่มีหลักสูตรวิชาชีพ เช่นวิศวกรรมศาสตร์ ๒ ปี โดยควรเลือกมหาวิทยาลัยที่มีโครงการสหกิจศึกษา ในกรณีเช่นนี้ นศ. อาจได้ปริญญาจากมหาวิทยาลัยที่สอง หรือถ้าจะใหเได้ปริญญาจากทั้ง ๒ มหาวิทยาลัยก็ต้องจ่ายแพงหน่อย
คำแนะนำที่หนังสือเล่มนี้ให้แก่ นศ. อเมริกันก็คือ ระวังอย่าเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยที่ทำให้ตนหลงทางอยู่ในฝูงชน (นศ.) จำนวนมาก คือยิ่งคนมากยิ่งว้าเหว่และหมดกำลังใจ
ผมอ่านตอนนี้แล้ว มองเห็นโอกาสที่มหาวิทยาลัยไทยจะสร้างนวัตกรรมเล็กๆ เพื่อสร้างจุดเด่นในการจัดการเรียนการสอนของตนได้มากมาย
หนังสืออ้างอิง : . Lynn O’Shaugnessy. The College Solution. A Guide for Everyone Looking for the Right School at the Right Price. FT Press, New Jersey, 2008, pp. 121 – 125. http://www.thecollegesolution.com/
วิจารณ์ พานิช
๑๗ ก.ค. ๕๑
“ชุมชนเพื่อการเรียนรู้”
ปลุกให้ดู ตัวเรา เจ๋งจริงหรือ
หรือว่าเก่ง การสอน อย่างเลื่องลือ
หรือว่าทื่อ หลับตา ดื้อสอนไป
................