จุดแข็งของโรงเรียนเกษตรกร จ.ปทุมธานี
มีผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง คือ “ผู้ใหญ่เทียน” โรงเรียนเกษตรกรนี้ แม้ว่าจะถูกก่อตั้งขึ้นจากยุทธศาสตร์จังหวัดและมีเงินทุนสนับสนุน แต่ก็เป็นแค่ระยะสั้นๆ เท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่ได้มีงบประมาณสนับสนุน นอกจาก “คุณศิริกาญ” ที่แวะเวียนมาคอยช่วยเหลือด้านวิชาการบางครั้งบางคราวที่มีการเข้าโรงเรียน แต่การรวมกลุ่มการเรียนรู้ก็ยังเหนียวแน่น และกลับมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเช่น มีเกษตรกรจาก อ.ธัญญะบุรี มาขอร่วมเรียนรู้ในโรงเรียน (สมาชิกสมทบ)
ปัจจุบันโรงเรียนเกษตกรอยู่ได้ด้วยใจ ของสมาชิก ที่ต้องการเรียนรู้ และมีความสุข สนุกที่ได้มาเจอกัน แม้ว่าต้องปรับเปลี่ยนจากเดิมจะมีงบประมาณอาหารกลางวันในวันที่เข้าโรงเรียน หรือมีงบประมาณช่วยเหลือเรื่องการทำปุ๋ยอินทรีย์ และมีงบประมาณให้เกษตรกรออกไปศึกษาดูงาน ปัจจุบันงบดังกล่าวไม่มีแล้ว แต่สมาชิกยังคงมาพบปะกันในโรงเรียน ด้วยงบประมาณส่วนตัวของ “ผู้ใหญ่เทียน”
ผู้ใหญ่เทียนกล่าวว่า การขยายเครือข่าย
ให้มีสมาชิกเกษตรกรในโรงเรียนมากขึ้นนั้น จะไม่เน้นปริมาณ
และไม่บังคับให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกผัก
แต่จะให้ความสำคัญกับคนที่มีใจอยากจะมาร่วมเรียนรู้จริงๆ
ที่ผ่านมาผู้ใหญ่เทียนต้องต่อสู้กับอุปสรรคอย่างมาก เช่น
ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกบ้า ในสมัยที่นำผักตบในคลองมาทำปุ๋ยหมัก
และไม่ย่อท้อต่อคำครหาใดๆ ใครที่ไม่เชื่อ
ก็จะทำปุ๋ยแจกให้ลองเอาไปใช้ดู โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
กระทั่งคนในชุมชนเริ่มหันมาสนใจกิจกรรมที่ผู้ใหญ่เทียน
กำลังพยายามส่งเสริมจึงทำให้มีคนในชุมชนและชุมชนใกล้เคียงทยอยเข้าร่วมในโรงเรียนเกษตรกรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ปัจจุบันแม้ไม่มีอาหารกลางวันกินร่วมกันแล้ว
แต่ทุกคนก็จะหอบหิ้วอาหารกันมาจากบ้านเอง
โดยมีผู้ใหญ่เทียนรับผิดชอบค่าน้ำดื่ม
พัฒนาการ
และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
จากเดิมที่เกษตรกรกรปลูกผักใช้สารเคมีมาก ผลผลิตตกต่ำ กำหนดราคาขายเองไม่ได้ ต้นทุนสูงและต้องจากแรงงาน แต่เมื่อมีการรวมกลุ่มกันเรียนรู้เรื่องการทำเกษตรแบบปลอดสาร ทำให้สามารถลดการใช้สารเคมีลงได้ มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์(หากแปลงผักไหนแก้ไขปัญหาไม่ได้ ก็จะใช้สารเคมีเป็นทางเลือกสุดท้าย) เกษตรกรมีความสามารถในการใช้สมุนไพรในการกำจัดศัตรูพืช มีต้นทุนที่ลดลง มีรายได้เพิ่มขึ้น และสามารถขายผักได้ในราคาสูงกว่าตลาดผักทั่วไป
ที่สำคัญการรวมกลุ่มการเรียนรู้ทำให้เกิดความสามัคคีกันขึ้นในชุมชน เกิดวัฒนธรรมการเอาแรงกันตามบ้านสมาชิก โดยหากแปลงผักของใครถึงเวลาเก็บผลผลิตก็จะอาสาสมัครกันไปเอาแรงช่วยกัน แทนการจ้างแรงงานทำให้ลดต้นทุน และสร้างความสามัคคีขึ้นในชุมชน
นายฉัตร หนึ่งในประธานกลุ่ม เล่าว่า แม้จะเข้ามาร่วม เป็นสมาชิกโรงเรียนเกษตรกรมาเป็นเวลานาน 2 ปีแล้ว แต่ก็ยังอยากมาเรียนรู้ร่วมกันในแปลงรวมทุกวันศุกร์ เพราะอยากได้ความรู้ และที่ผ่านมาตนก็มีความรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และก็อยากจะหาความรู้เพิ่มเติมต่อไป เรื่อยๆ สิ่งที่ได้มากนอกเหนือจากความรู้ก็คือ ทำให้ชุมชนเกิดความสามัคคี ในอดีตเพื่อนบ้านใกล้เคียงเดินสวนกัน หรือขับรถสวนกันก็ยังไม่พูดกัน ไม่ทักกัน แม้แต่คนในบ้านบางครั้งก็ไม่ค่อยได้คุยกัน แต่เมื่อมีการรวมกลุ่มกันเรียนรู้ในโรงเรียนเกษตรกรแล้ว ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น คือ คนที่เป็นสมาชิกโรงเรียนเกษตรกร เดินผ่านก็ทักทายกัน ถามกันว่าไปไหนมาไปทำอะไรมา อยากรู้ว่าเพื่อนสมาชิกไปทำอะไรมาบ้าง ได้ผลอย่างไรบ้าง หรือ แค่ขับรถผ่านก็จะจอดรถคุยกัน มีเรื่องจะต้องคุยกันมากขึ้น และเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ทำให้รู้สึกมีเพื่อนช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันแก้ปัญหา จากที่เคยมีปัญหาก็เก็บไว้ คิดคนเดียว ทำคนเดียวแก้ไขคนเดียวทำให้ยากและท้อแท้ แต่ปัจจุบันเหมือนมีเพื่อนช่วยคิดเกิดกำลังใจในการทำงานมากขึ้น
ปัจจุบันสมาชิกโรงเรียนเกษตรกร แห่งนี้ พัฒนาตนเอง
กระทั่งสามารถเป็นวิทยากรแนะนำความรู้เรื่องการทำเกษตรอินทรีย์ให้กับโรงเรียนเกษตรกรแห่งอื่นที่ตั้งขึ้นใหม่ได้ดี
ไม่แพ้เจ้าหน้าที่เกษตร ซึ่งเจ้าหน้าที่เกษตรตำบลเอง
ก็สนับสนุนให้สมาชิกโรงเรียนเกษตรกรที่นี่มีความสามารถในการเป็นวิทยากร
เพื่อให้เกษตรกรสอนกันเอง
ซึ่งจะเป็นประโยชน์เมื่อเวลาที่เจ้าหน้าที่ไม่ว่าง
และยิ่งทำให้เกษตรกรมีความเข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองได้