นั่งมองเงา


มีคำถามความรู้สึกหนึ่ง ในยามเช้าที่ได้นั่งมองตัวเอง ผ่านเงากระจก มองเห็นตัวเอง มองเห็นความรู้สึก เห็นคำถามที่มีต่อชีวิตของตัวเอง พร้อมทั้งความรู้สึกในยามมองเห็น เมื่อคิดถึงชีวิตของตัวเอง

นั่งมองเงา

อ้างอิง - ภาพ Kati1789

ระยะหลัง

เมื่อชีวิตผ่านคืนวัน

มากครั้งมากวันมากคืนเพียงใด

ผมยิ่งสังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงของชีวิต มองเห็นความเปลี่ยนไปของคนรอบข้าง เห็นริ้วรอย และเห็นคำถามมากมายที่ไม่เคยตอบได้ ซึ่งได้แต่ผัดผ่อนไปเรื่อยเรื่อย จนวันหนึ่งต้องตอบ หรือวันหนึ่งค้นพบกับคำตอบเหล่านั้น โดยไม่ได้ตั้งใจหรือตั้งใจก็ตามแต่ แต่ต้องตอบ

ยิ่งผ่านคืนวันของชีวิตมากครั้งเข้า

ผมยิ่งค้นพบความเงียบ

ที่วิ่งเข้ามาในชีวิต

แม้จะไม่ตั้งใจให้ต้องวิ่งเข้ามาชนเพียงใด แต่บ่อยครั้งที่ผมตื่นขึ้นยามดึก หรือลุกขึ้นก่อนรุ่งสาง โดยไม่มีอาการง่วงนอน หรืองุนงงแต่อย่างใดกับชีวิต หลังจากลดพฤติกรรมการเสวนาข้ามคืนลงไปมากครั้งเข้า ผมก็พบกับช่วงเวลาประหลาดของชีวิต ยามได้มีโอกาสนอนตัวตอนหัวค่ำ

ระยะหลังนี้

ผมมักพบความประหลาด

ยามลุกขึ้นมานั่งมองตัวเองยามรุ่งสาง

บางทีก็ลุกขึ้นมาอ่านหนังสือที่ค้างคาไว้ รวดเร็วและง่ายดายกับสติที่นิ่งพอ หรือคิดรายละเอียดในเรื่องงานบางอย่างที่ค้างใจ บางเรื่องก็ค้างข้ามวันมา จนกระทั่งเมื่อตื่นขึ้นอย่างสดชื่น ไม่งัวเงียและไม่อ่อนเพลีย ผมมักจะได้คำตอบเหล่านี้ยามรุ่งสาง ไม่นับรวมกับการสะสางงาน ที่ทั้งรวดเร็วและชัดเจน เขียนงานได้ง่าย อธิบายเรื่องราวยากยากได้คล่องขึ้น

ยิ่งพบกับความประหลาดของชีวิต

ผมยิ่งหลงเสน่ห์ในบรรยากาศ

หลงในมนต์ยามมืด

ยิ่งในช่วงที่ไม่ค่อยมีเสียงใดใดมารบกวน ยิ่งทำให้เข้าใจลมหายใจได้มากขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจที่จะลำดับลมหายใจก็ตาม แต่เสียงเงียบรอบตัว ก็ทำให้ผมได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง ดังและชัดเจนที่สุด เท่าที่หูของผมจะสามารถทำงานได้ในยามเช้าเช่นนี้ จนเหมือนตื่นมาฟังเพลง

ซึ่งขับร้อง

ด้วยลมหายใจตัวเอง

เหมือนเช่นที่เคยตื่นขึ้นมาเปิดเสียง

เปิดวิทยุโทรทัศน์ เปิดโทรศัพท์ รับเรื่องราวหรือนั่งอธิบายความให้ใครต่อใครฟัง ยามต้องตื่นขึ้นมารับเสียงเรียกเข้าของใครต่อใคร บ่อยครั้งเข้าก็ติดเป็นนิสัย ในพฤติกรรมสะดุ้งตื่นเพราะมีคนอยากคุยเรื่องงาน บางทีถ้าต้องเพลียใจเพลียกายมากเกินไป ผมจะหลีกด้วยการปิดโทรศัพท์

จนกระทั่งผมพบกับความเปลี่ยนแปลงใหม่

เมื่อเราตื่นขึ้นมาก่อนที่คนอื่นตื่น

ก่อนที่เขาจะต้องการคุย

ยิ่งในยามเช้ารุ่งสาง นอกเหนือจากการอ่านหนังสืออย่างคล่องหัว การนั่งทำงานที่รวดเร็ว ผมกลับพบสิ่งที่สวนทาง กับเรื่องราวของการอ่าน และการเขียน เมื่อสองสิ่งเป็นความรวดเร็ว แต่ในชีวิตและความรู้สึกของผม ผมกลับพบว่า เวลายามเช้ารุ่งสาง ช่างยืดยาว เชื่องช้าและเนิ่นนาน

 

 

ผมมีโอกาส

ที่ได้นั่งมองตัวเอง

นั่งมองความมืดหลังปิดหนังสือ

บ่อยครั้งที่มีโอกาสนั่งมองตัวเองผ่านกระจก จะเป็นกระจกเงา หรือกระจกอะไรก็ตามแต่ ที่สามารถสะท้อนแสงเงาของตัวเองได้ ผมยิ่งพบกับคำตอบที่สะท้อนผ่านออกมา ไม่ใช่แค่เพียงรูปร่างหน้าตาหัวหูของตัวผมเอง ไม่ใช่ภาพหลอนภาพสะท้อนของสิ่งเร้นลับอันใด แต่เป็นภาพสะท้อนบางอย่างในใจของผม ที่สะท้อนออกมาได้อย่างชัดเจนชัดแจ้ง

แรกเริ่มเดิมทีของการมองเงาตัวเอง

ผมจะรู้สึกหวาดระแวงเสมอ

เมื่อนึกคิดไปไกล

ว่าอาจเหลือบตาไปเห็นภาพบาดใจ เห็นใครคนใดที่เราไม่เคยรู้จัก ปรากฎอยู่ในแต่ละผืนกระจกเหล่านั้น หรืออาจเป็นภาพสะท้อนที่ไม่ใช่ใบหน้าของเรา แต่พอนานวันนานคืนเข้า ผมยิ่งลดความหวาดกลัว ซึ่งสุมอยู่ในอกให้ลดลงได้ ยิ่งได้เห็นว่า หน้าตาตัวเองแก่ลงไปมาก

ยิ่งเข้าใจว่า

สักวันหนึ่งผมคงแก่มาก

และแก่มากจนกระทั่งล้มหายตายจาก

จนสุดท้าย ผมคงกลายเป็นสิ่งน่าหวาดกลัวของใครคนอื่น เมื่อคิดไปคิดมาเป็นวงกลมชีวิต ผมเลยละเลิกความกลัว จากสิ่งที่ไม่อาจเห็น หรือสิ่งที่เห็นแต่อาจสื่อสารเหล่านั้น ด้วยการคิดว่า สักวันหนึ่งผมจะได้รับคำตอบเอง ว่าเมื่อละลาจากโลกนี้ไปแล้ว ผมจะเดินทางไกลเช่นไร

ยิ่งเมื่อได้มีโอกาสตื่นเช้าบ่อยครั้งเข้า

ผมยิ่งมีโอกาสเงี่ยหูฟังเสียงเงียบ

สังเกตุสังกาชีวิตแวดล้อม

ในท่ามกลางความมืด ความเงียบ ความสงบ และความสงัด ที่ผมไม่ได้ตั้งใจให้เป็นไปเช่นนี้ แต่ทุกสิ่งที่แวดล้อมตัวผม ล้วนเป็นไปตามความเงียบและความไม่เงียบของแต่ละสิ่ง แต่ละสรรพสิ่งต่างทำหน้าที่ในแต่ละความเงียบเหล่านั้น ไม่ใช่เพียงเพื่อให้ผมได้มีโอกาสสัมผัส แต่สรรพสิ่งเหล่านั้น ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างซื่อสัตย์ แข็งขันไม่ขาดตกบกพร่อง

ในท่ามกลาง

ความเงียบและเสียงเงียบ

ผมมีโอกาสค้นพบตัวเองในอดีต

มากมายเรื่องราวผุดขึ้นมาดุจดอกเห็ดหน้าฝน บานเปล่งให้ได้ไตร่ตรองรอยแผลมากมาย เรื่องราวบางอย่างที่คิดว่าหลงลืม ก็ผุดขึ้นมาอย่างช้าช้า ค่อยค่อยเนิบค่อยค่อยคลานเข้าหาความรู้สึก เนิ่นนานและเชื่องช้าอย่างที่สุด เงียบค่อยและเบาบางเท่ากับที่ยังคงมีลมหายใจอยู่

หลายครั้งที่คิดว่าวันเวลาเหมือนหยุดนิ่ง

หลายคราที่หลงคิดไปเองว่า

ตัวเองหยุดเวลาไว้ได้

ในโอกาสของความเงียบ และการนั่งมองเงาตัวเอง ผ่านทั้งกระจกหรือผ่านจากใจก็ตามแต่ ผมรู้สึกเสมอในทุกครั้งว่า ตัวเองเล็กลง เล็กน้อยและเบาบางลงทุกวัน ที่เห็นลมหายใจภายใต้ความเงียบเหล่านี้ จนบางครั้งอดคิดไม่ได้ว่า อาจเป็นความฉลาดของภูมิธรรมภูมิปัญญา ในแต่ละศรัทธาศาสนาทั่วโลก ซึ่งบอกสอนให้สวดมนต์ตั้งสติในยามรุ่งสาง บ่อยครั้งที่นั่งมอง ผมเห็นตัวเองในกระจก เป็นเพียงสิ่งซึ่งเล็กน้อยอย่างยิ่งในความมืด

เล็กน้อยอย่างมาก

ที่ชีวิตของตัวเองได้มีโอกาสเห็น

จนคิดไปเองว่า เราเบาบาง เบาบางมากขึ้น

และวันหนึ่งเราคงจะจางหายไป

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 196040เขียนเมื่อ 23 กรกฎาคม 2008 17:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 01:12 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

สวัสดีค่ะคุณKati

  • วันหนึ่งเราคงจะจางหายไป
  • ชอบมากคำนี้
  • อดีต คือ ความฝัน ปัจจุบัน คือ ความจริง อนาคต คือ สิ่งที่ยังมาไม่ถึง นะคะ
  • เวลาไปงานศพ ทำความเคารพ รดน้ำศพ ก็จะมองว่าสักวันหนึ่งคงเป็นเรา
  • จึงทำชีวิตให้อยู่กับปัจจุบันมากที่สุด
  • สบายดีนะคะ
  • ขอบคุณค่ะ 
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท