ความขัดแย้งที่บ้านหนองหมู: เมื่อปี พ.ศ. 2545 โครงการที่ผมรับผิดชอบมีแผนงานพัฒนาถนนสายหนึ่งต้องสร้างผ่านหมู่บ้านหนองหมูไปสิ้นสุดที่ริมห้วยบางทรายที่อีกฝั่งหนึ่งเป็นถนนดำสายหลัก สมัยนั้นบ้านหนองหมูเป็นหมู่บ้านปิดเพราะที่ตั้งหมู่บ้านอยู่บนฝั่งขวาห้วยบางทรายมีภูเขาล้อมรอบ ไม่มีสะพานสำหรับรถสี่ล้อข้ามห้วยบางทราย มีเพียงสะพานแขวนใช้เดินและมอเตอร์ไซด์เท่านั้น ชาวบ้านพบความเดือดร้อนเพราะไม่สามารถนำผลผลิตการเกษตรออกขายได้.. จึงร้องเรียนราชการให้ช่วยสร้างสะพาน แต่ไม่ผ่านกรอบระเบียบเพราะจะต้องใช้งบประมาณนับสิบล้านบาท มีผู้ได้ประโยชน์เพียงหมู่บ้านเดียว ไม่คุ้ม ส.ป.ก.จะสร้างถนนให้มาจ่อริมห้วยรองบประมาณหน่วยใดก็ได้ที่พิจารณาสร้างสะพาน...
เมื่อ ส.ป.ก.เริ่มลงมือก่อสร้างโดยบริษัทผู้รับเหมา เรื่องก็เกิดขึ้น ผู้นำชาวบ้านที่เป็น อบต.คนหนึ่งแจ้งทาง ส.ป.ก. ว่าไม่ให้ ส.ป.ก.ทำถนนแล้ว จะให้ สำนักงานทางหลวงชนบท (รพช.เดิม) เป็นผู้สร้าง ......ทุกคนงง แต่เมื่อติดตามข้อมูล.. พบว่าเกิดการซ้ำซ้อนในแผนการก่อสร้างถนนขึ้น คือ ส.ป.ก.กับ ทางหลวงชนบทมีแผนตรงกันที่จะสร้างถนนเส้นนี้ (??) โดยเงื่อนไขของทางหลวงชนบทดีกว่า กล่าวคือ จะสร้างสะพานที่เกษตรกรรอคอยมานาน และสร้างถนนที่มีความกว้าง 6 เมตรตามมาตรฐานของหน่วยงาน ส่วน ส.ป.ก.ไม่มีสะพานและขนาดถนนกว้างเพียง 4 เมตรแต่ยาวมากกว่า ชาวบ้านเลือกงานของกรมทางหลวงชนบท ไม่เอาแผนงานของ ส.ป.ก. และระดมชาวบ้านจะเดินขบวนไปร้องต่อผู้ว่าราชการจังหวัด... และยื่นเงื่อนไขให้ คนของ ส.ป.ก.ไปเจรจาที่หมู่บ้านหนองหมูภายในวันนั้น...
ทั้งหมู่บ้านคืออดีตผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ที่ตื่นตัวเรื่องสิทธิ และความต้องการของหมู่บ้าน
เผชิญหน้า Mob : เมื่อเจ้าหน้าที่ราชการ ส.ป.ก. ทราบรายละเอียด ก็ไม่มีใครเสนอตัวเข้าไปเจรจากับกลุ่มชาวบ้านเลย ผู้เขียนในฐานะที่รับผิดชอบกิจกรรมโครงการและบ้านหนองหมูอยู่ในพื้นที่โครงการ จึงต้องไปเผชิญ Mob ลานกลางหมู่บ้าน วันนั้นมีชาวบ้านประมาณ 150-200 คนนั่งเกาะกลุ่มกันอยู่ แต่ละคนคุยเสียงดัง หน้าตาจะเอาเป็นเอาตาย ฝ่ายราชการนำคณะนายช่างควบคุมงาน ส.ป.ก. ผู้รับเหมาก่อสร้าง และเจ้าหน้าที่อื่นๆอีก 2-3 คน ตามไปนั่งเก้าอี้เผชิญหน้ากลุ่มชาวบ้าน
แล้วการเจรจาก็เริ่ม โดย ผู้นำชาวบ้านลุกขึ้นกล่าวสาระรายละเอียดต่างๆและปัญหาที่เกิดขึ้น แน่นอนจะรวมไปถึงความบกพร่องของฝ่ายราชการ คนของทางราชการ พนักงานบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่อาจจะพลาดพลั้งไปในเรื่องต่างๆระหว่างการทำงาน ทั้งวาจา ท่าที ขณะผู้นำพูดนั้นจะมีเสียงชาวบ้าน เฮ ฮาเสียงดังลั่น ในทำนองเห็นด้วยกับผู้นำ mob ผู้เขียนลุกขึ้นกล่าวถึง แผนงานของ ส.ป.ก.ที่จะสร้างถนนเข้าหมู่บ้าน ซึ่งก็เป็นความต้องการของชาวบ้าน การจัดทำแผนงานก็จะต้องมาปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่บ้าน เจ้าของที่ดิน ส.ป.ก.ที่ถนนจะผ่านแล้ว ทุกคนก็ไม่ขัดข้อง และเป็นเจตนาดีของทางราชการที่จะทำถนนเพื่อให้เกิดประโยชน์กับชาวบ้าน แต่เมื่อมาเป็นแผนงานที่ซ้ำซ้อนกันเช่นนี้ ก็ต้องร่วมกันพิจารณาทางระเบียบราชการโดยเอาผลประโยชน์ของชาวบ้านเป็นที่ตั้ง บัดนี้ชาวบ้านหนองหมูยืนยันต้องการให้ทางหลวงชนบทเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างถนนและสะพาน แต่ทาง ส.ป.ก.ก็ติดขัดเรื่องการยกเลิกสัญญาก่อสร้างซึ่งจะเป็นความเสียหายต่อทางราชการเช่นกัน ขอเวลาให้ฝ่ายราชการปรึกษาหารือกัน 2 วันแล้วจะมาประชุมกันใหม่ที่นี่
ราชการเผชิญหน้ากัน: เจ้าหน้าที่ ส.ป.ก. ระดมความคิดกันและยืนยันความถูกต้องที่จะก่อสร้างต่อไป ด้วยเหตุผลทางกฎหมาย เช่น
· พื้นที่นั้นๆเป็นพื้นที่ ส.ป.ก. 4-01
· การประมูลการก่อสร้างกระทำถูกต้องตามกฎหมายและไม่สามารถยกเลิกได้ หากยกเลิกราชการจะถูกฟ้องร้อง
· การลงนามในสัญญาก่อสร้างของ ส.ป.ก. นั้นลงนามก่อนงานก่อสร้างของกรมทางหลวงชนบท
ส.ป.ก. และกรมทางหลวงชนบทในฐานะที่เป็นหน่วยงานราชการด้วยกันจำเป็นต้องนั่งโต๊ะปรึกษาหารือกัน แต่เมื่อเผชิญหน้าเจรจา ปรากฏว่ากรมทางหลวงชนบทก็ยืนยันที่จะดำเนินการต่อไปเพราะเป็นคำสั่งที่มาจากราชเลขา และเป็นการก่อสร้างตามการเสนอขอจากชาวบ้าน บ้านหนองหมูเอง....ที่ขอราชการสร้างสะพานกี่กรมกี่หน่วยก็ไม่เคยได้ จึงไปร้องเรียนต่อราชเลขา ซึ่งที่ดงหลวงมีพื้นที่โครงการพระราชดำริอยู่
เอาละซี...ผู้เขียนเห็นการระเบิดครั้งใหญ่ของกาแลกซี่อยู่ข้างหน้าแล้ว... แต่ในที่สุดการประนีประนอมก็เกิดขึ้นแบบ “วินวิน” เมื่อผู้รับเหมาทาง ส.ป.ก. ใจป้ำ ยอมลดรายได้ของบริษัท ตัดสินใจขอเป็นผู้ก่อสร้างถนนเองโดยใช้มาตรฐานทางหลวงชนบทคือถนนกว้าง 6 เมตรตามระยะที่ทางหลวงชนบทมีแผนไว้ ส่วนสะพานทางหลวงชนบทก็สร้างต่อไปตามแผนงาน ส่วนงบประมาณสร้างถนนของกรมทางหลวงชนบทที่ซ้ำซ้อนกับ ส.ป.ก.นั้นให้นำไปใช้เสริมงานก่อสร้างสะพาน
เรื่องก็จบลงโดยมีอารมณ์คั่งค้างไปบ้าง ชาวบ้านยอมรับแนวทางออกดังกล่าว ผลประโยชน์ชาวบ้านได้เต็มที่ ได้สะพานที่หวังมานานได้ถนนมาตรฐานทางหลวงชนบท ได้ถนน ส.ป.ก.ตามระยะเดิม....
ข้อสรุป:
§ การบูรณาการแผนงานพัฒนาพื้นที่ใดๆระหว่างหน่วยงานราชการ บกพร่อง ต่างฝ่ายต่างทำแผนงานแต่ไม่ประสานงานกัน เป็นปัญหาเดิมๆที่ยังแก้ไม่ตก
§ ราชการขาดการประชาสัมพันธ์งานที่จะดำเนินการให้ชาวบ้านทราบตั้งแต่ต้น ชาวบ้านจะทราบเมื่องานจะก่อสร้างแล้ว
§ การแก้ปัญหาระหว่างฝ่ายราชการด้วยกันเองไม่ได้หาทางออกด้วยการเปิดใจเข้าหากัน แต่เป็นการเผชิญหน้าด้วยการยึดเงื่อนของตัวเองเป็นหลัก ทำการเจรจาเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามลดเงื่อนไขลง คือเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง มิได้ยืนอยู่บนการแสวงหาทางออกร่วมกัน
ข้อสังเกตในกรณีนี้
§ ชาวบ้านนั้นเอาประโยชน์ที่หมู่บ้านจะได้รับเป็นที่ตั้ง ไม่ว่าใครจะมาทำประโยชน์ก็ตาม แต่จะต่อสู้เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดตามเงื่อนไขที่สร้างโอกาสให้แล้ว
§ ระบบธุรกิจ (ผู้รับเหมาก่อสร้าง) ยินยอมลดประโยชน์ที่จะได้รับลงมา จึงเป็นปมคลี่คลายปัญหาที่เผชิญหน้ากัน
§ สถานที่เจรจาใช้บริเวณลานในหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านทุกคนสามารถเข้ามาร่วมได้ เราแสดงความจริงใจในการเจรจาอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา
§ ผมผู้เป็นคนนำในการเจรจาตั้งสติและใช้ความเป็นปกติของคนทำงานพัฒนาชุมชน ที่แสดงความตั้งใจ จริงใจ เคารพชาวบ้าน และไล่เรียงความเป็นมาให้ทุกคนเข้าใจเงื่อนไขต่างๆของทุกฝ่ายอย่างชัดเจน แล้วมาสรุปประเด็นการเจรจา โดยเคารพความคิดเห็น ความต้องการของชาวบ้าน และชี้ให้เห็นเงื่อนไขของระบบราชการ
§ การต่อรองมาติดขัดที่กฎระเบียบของราชการ หากผู้รับเหมาก่อสร้างถนนไม่ยอมลดผลประโยชน์ลงมา ความขัดแย้งนี้ย่อมไม่ยุติ
§ การทำงานพัฒนาที่ไม่ได้ผลเต็มที่ก็คือการทำงานตามระเบียบราชการ ไม่ได้เอาชาวบ้านเป็นตัวตั้ง แต่เอาระเบียบราชการเป็นที่ตั้งจึงติดขัดไปหมด แม้ว่าเพื่อนข้าราชจะเอาชาวบ้านเป็นตัวตั้งแต่ก็ไม่สามารถจะข้ามระเบียบราชการไปได้ สรุปว่างานพัฒนาชนบทนั้นการทำงานภายใต้ระเบียบราชการมีข้อจำกัดมาก ไม่อาจเป็นเงื่อนไขการทำงานที่เสริมพลังชุมชนอย่างแท้จริงได้
หมายเหตุ: บันทึกนี้เคยนำลงที่ G2K แล้วที่ http://gotoknow.org/blog/dongluang/73641
จึงนำมาปรับปรุงใหม่