ก็จริงนี่ครับ..ประสาคนทำงานด้านการประชาสัมพันธ์การศึกษามาร่วม 2 ทศวรรษ สวมทั้งหมวก “นักข่าว”และ “นักประชาสัมพันธ์” สัมผัสและสัมพันธ์งานด้านการข่าวมาทุกรูปแบบ
ก็เลยรู้ว่า งานการประชาสัมพันธ์หน่วยงานการศึกษา โรงเรียน สถานศึกษา ชุมชน KM คนละสไตล์และเวอร์ชั่นกับงานการสื่อสารมวลชนหรือการข่าวอย่างสิ้นเชิง
เหตุผลก็คือ การข่าวหรือการสื่อสารมวลชนซึ่งเป็นวิชาชีพและฐานันดรหนึ่งในสังคมอธิปไตย ครอบคลุมทั้งสารบบสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อคลื่นวิทยุ สื่อออนไลน์ สื่อผ่านดาวเทียม สื่อเว็บไซต์ ฯลฯ ในขณะที่นักประชาสัมพันธ์มีหน้าที่เพียง ทำอย่างไรก็ได้เพื่อรักษาภาพลักษณ์องค์กรและหน่วยงานในเชิงสร้างสรรค์
“ทำอย่างไรก็ได้เพื่อรักษาภาพลักษณ์องค์กรและหน่วยงานในเชิงสร้างสรรค์” ยกวรรคตอนนี้มาตอกย้ำถึงพันธกิจและกรอบภารกิจของนักประชาสัมพันธ์ตามที่สพฐ.กำหนดและภารกิจเชิงสร้างสรรค์ที่ควรจะเป็น ควรจะทำ และควรจะพัฒนา.....
ซึ่งหากตั้ง “ธงกรอบภารกิจ”เมื่อนำงานประชาสัมพันธ์หน่วยงานไปเทียบเคียงกับ “งานการข่าว-สื่อสารมวลชน” ดูเหมือนจะ “คนละเรื่องเดียวกัน” และบางเวอร์ชั่นงานประชาสัมพันธ์หรือ PR : Public Relation อาจจะเป็นเพียง “เสี้ยวกระผีกลิ้น" ของ "อาชีพนักข่าว”ด้วยซ้ำไป
แต่หากตั้งธงไว้เฉพาะ “รักษาภาพลักษณ์องค์กรและหน่วยงาน” ซึ่งแต่ละองค์กรและหน่วยงานก็มีลักษณะเฉพาะทางของศักยภาพกระบวนทัศน์ (Paradigm)และวิสัยทัศน์องค์กร (Vision) ผู้นำองค์กร (Leader ship)และศักยภาพ (Potential)สมาชิกองค์กรที่ผิดแผกแตกต่างกันออกไป...ซึ่งอยู่นอกเหนือขีดจำกัดและกฎเกณฑ์กติกากำหนดเสียด้วย
ในขณะที่งานประชาสัมพันธ์องค์กรหรือหน่วยงานยังคงต้องเดินหน้า เดินเครื่องแบบต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ไม่มีรูทีน ไม่มีออร์เดอร์ ไม่มีไก๊ด์ไลน์ และไม่มีโฟกัสใดๆกำหนดว่า สิ่งที่ประชาสัมพันธ์ออกไปในแต่ละโปรเจ็คต์ คือ สิ่งที่ถูกต้องที่สุด....
พันธกิจและกรอบภารกิจของนักประชาสัมพันธ์หากซอยย่อยออกไปเป็นวิธีปฏิบัตินอกเหนือจากการฟัง พูด อ่าน เขียน ที่ครอบคลุมทั้งการเขียนข่าวแจก รายงาน บทความ บันทึกไฟล์ภาพ ถ่ายภาพวีดีโอ คลิป จัดรายการวิทยุ ผลิตวีดีทัศน์ แถบบันทึกเสียง พิธีกร ผู้ประกาศ ทำเว็บไซต์ ผลิตป้ายนิเทศ กระดานข่าว ฯลฯ โดยไม่นับรวมกับวิถีชีวิต ตามรอยนโยบาย สร้างเครือข่ายกระจายงาน ประสานการประชาสัมพันธ์ สร้างสรรค์พัฒนาหน่วยงาน...
แต่สิ่งหนึ่งที่นักประชาสัมพันธ์ทุกหน่วยงานและองค์กรจะปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือ สัมพันธภาพอันดีกับพี่น้องผู้สื่อข่าวหรือนักข่าวในท้องถิ่น...
เพราะหลายๆหน่วยงานหูตาบอดสนิทและมีสิทธิถูกตัดตอนพันธุกรรมได้อย่างไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัวก็เพราะการขาดสัมพันธภาพอันดีกับ “นักข่าว”นี่แหละ.....ทั้งๆที่ตามกรอบภารกิจของนักประชาสัมพันธ์ที่ปรากฎบัญญัติไว้แล้ว จะมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานด้านการข่าวสาธารณชนเพียงเฉียดฉิวเท่านั้น
แต่ก็อย่างที่จั่วหัวไว้ว่านักประชาสัมพันธ์-นักข่าว “แค่กิ๊ก” นั่นแหละครับ....แต่กิ๊กที่ว่านี้ต้อง “กลมเกลี้ยง” และต้อง “อย่างเนียน”ด้วย อย่าลืมว่า....ฐานันดรสื่อมวลชนนั้นมีเกียรติประวัติว่า “ล้มรัฐบาล”ได้นะครับและเคยปรากฎเป็นมรรคเป็นผลมาแล้วทั้งในสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย
สำมะหาอะไรกับหน่วยงานกระจิริดที่เป็นพหุสังคม....คุณเอื้อคุณอำนวยคุณกิจคุณลิขิต...ที่ว่าเจ๋งๆก็ลองมาปะจะฉะดะอย่างถึงแก่นถึงกระพี้กับ “นักข่าวในพื้นที่”แบบนักประชาสัมพันธ์สิครับ....
แล้วจะรู้ว่า....ทำไมถึงต้องมี “พูดจาประสาสมัคร”.....!!
มามาทักทายค่ะ..พูดดี คิดดี ทำดี บ้านเมืองไม่วุ่นวายค่ะ
สวัสดีครับ
แวะมาอ่าน นับว่าเป็นข้อคิดที่ดีทีเดียวเชียว
ทำไปทำมาไงมาจบที่ "แล้วจะรู้ว่า....ทำไมถึงต้องมี “พูดจาประสาสมัคร”.....!!
คงอึดอัดเหมือนกันกระมัง ครับ
ขอบคุณที่แวะไปเยือนบล็อก ครับผม