GotoKnow
หน้าแรกสมาชิกลิขิตสมุดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในสคส. › 2 ปี หลังจากจบ KM Internship Program …ข้าพเจ้า...

2 ปี หลังจากจบ KM Internship Program …ข้าพเจ้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?

ลิขิต
เขียนเมื่อ 15 กรกฎาคม 2008 20:53 น. ()
แก้ไขเมื่อ 13 มิถุนายน 2012 16:10 น. ()
ไม่มีเรื่องของความสำเร็จใหญ่โตในผลของงานในองค์กรแห่งนี้ แต่มีความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจมากมายเหลือเกินในการพัฒนาตนเอง การพัฒนาร่วมกันระหว่างเพื่อนร่วมงาน ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นความสุข หรือความทุกข์ ที่แปรเปลี่ยนตามสภาพจิตใจของคนอยู่ตลอดเวลานั่นเอง และนับเป็นคุณค่าที่ประเมินราคามิได้

      นับเป็นโอกาสที่ดี ในการเขียนระบาย เล่าเรื่อง การฝึกฝน KM ปฏิบัติของตัวข้าพเจ้า ที่เข้าใจว่า คงจบลงอย่างจริงจังเสียที ซึ่งนับระยะเวลาได้ประมาณ 2 ปี ตั้งแต่จบการฝึกฝนทักษะ KM ปฏิบัติ จากสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) เมื่อสิ้นเดือน กรกฎาคม พุทธศักราช 2549

      ข้าพเจ้าได้ค้นพบอะไรบ้าง? จากการตั้งเป้าหมายเป็นผู้ใฝ่เรียนรู้ตั้งแต่เริ่มประกอบอาชีพ จวบจนได้รับโอกาสจาก สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม หรือ มูลนิธิสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม ในปัจจุบัน ซึ่งรวมระยะเวลาทั้งสิ้นกว่า 10 ปี ในชีวิตการทำงาน ...  เรื่องที่จะเล่าคงเป็นสิ่งยืนยันถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวข้าพเจ้า

      ต้นทับทิม ต้นเดิมที่บ้านข้าพเจ้าสูงประมาณ 4 เมตร (ต้องตัดไม่ให้สูงกว่านี้) กำลังออกดอกผล คล้ายอุดมสมบูรณ์เต็มที่ เป็นความจริงตามที่แม่บ้านคนเดิมได้ตั้งข้อสังเกตว่า “เดี๋ยวนี้ใบทับทิมไม่หงิกงอแล้ว หมายถึงแข็งแรงพอที่จะเอาชนะโรคต่างๆได้ ทำให้ ป้าไม่ต้องคอยช่วยตัดใบ แต่งกิ่งอีกแล้ว”  ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับเธอ ต้นทับทิมอายุ 9 ปีนี้ ปัจจุบันได้ถูกขยายพันธุ์ไปปลูกหลากหลายพื้นที่ นอกจากนี้ยังออกผลที่อุดมสมบูรณ์ เป็นที่อยู่อาศัยของนก ให้ร่มเงา และนับเป็นฮวงจุ้ยที่ดีอย่างหนึ่ง และยังมีประโยชน์อีกมากมาย แม่บ้านคนเดิมปรารภอีกว่า “เมื่อก่อนป้าไม่รู้ประโยชน์ หรือสรรพคุณ จึงไม่เคยคิดจะปลูกต้นทับทิม ทั้งที่เป็นคนชอบปลูกต้นไม้ ปัจจุบันป้าปลูกต้นทับทิมที่ขยายพันธุ์จากที่นี่ ทั้งในพื้นที่โรงงาน บ้านพัก น่าเสียดาย! ใบทับทิมยังหงิกงออยู่ เมื่อ 2 วันก่อน เจ้านายก็ต้องการจะใช้งาน ทับทิมกิ่งเท่าฝ่ามือ 2 กิ่ง ทันที ไม่รู้จะไปหาที่ไหนได้ นี่เพื่อนพนักงานก็บอกว่า หมอแนะนำให้เอาใบและกิ่งทับทิมไปต้มน้ำรับประทานแก้โรคตับได้”  ข้าพเจ้ายังยืนยันเช่นเดิม เหมือน 8-9 ปีที่แล้ว “ ป้าจะแบ่งต้นทับทิมที่บ้านนี้ไปแจกจ่ายใคร ก็ทำตามสบาย ”  เดี๋ยวนี้ที่บ้านข้าพเจ้าก็มีไม้ดอกไม้ประดับเพิ่มขึ้นหลายชนิด จากความเอื้อเฟื้อของป้าแม่บ้าน อีกไม่นานก็คงมีดอกโมก เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชนิด ข้าพเจ้ายินดีที่เห็นเธอเบิกบานและไม่เคยเคร่งเครียด หรือมองโลกในแง่ร้าย เพราะมีกิจกรรมที่ชอบให้ทำ เป็นการระบายด้วยธรรมชาติ เธอจึงทำงานได้มาก เช่น มีงานแม่บ้านประจำที่โรงงาน ขายของช่วงเวลาพัก สานตะกร้าพลาสติก มาทำความสะอาดที่บ้านข้าพเจ้าเป็นงานพิเศษหลังเลิกงาน   ปัจจุบันเธอซ้อนท้ายมอร์เตอร์ไซด์สามีที่มีอาชีพขับรถประจำทางมาทำงานที่บ้านข้าพเจ้าแทนการนั่งรถโดยสาร ซึ่งต้องเสียทั้งค่าเดินทางและเวลารอคอย ข้าพเจ้านิยมเพิ่มในเรื่องความสัมพันธ์ของสามีภรรยาที่มีการช่วยเหลือกัน แทนการแยกกันไปทำงาน การรู้จักปรับตัวและคิดดำรงชีพตามสภาวะการณ์ภายนอกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแบบคาดไม่ถึง ทำให้ครอบครัวของเธออบอุ่นมีความสุขและเจริญก้าวหน้า ตลอดระยะเวลาที่ข้าพเจ้ารู้จักเธอจนบัดนี้

      

      ข้าพเจ้าเป็นอีกคนหนึ่งนอกเหนือจากแม่บ้านคนขยัน ที่เฝ้าติดตาม สังเกตต้นทับทิม เปรียบเปรยกับเวลาแห่งการแสวงหาสิ่งเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง จวบจนกระทั่งย่างเข้าปีที่ 9  ข้าพเจ้าเกิดคำถาม ทำไมข้าพเจ้าเริ่มชอบ ใช้วิธีการทดลอง ทดสอบ วิเคราะห์ วิจัย ตั้งสมมุติฐาน และหาข้อสรุป กับหลายๆเรื่องที่ข้าพเจ้าขมวดเป็นประเด็นสมมุติฐาน?”  ข้าพเจ้าเริ่มพบความชัดเจนในสิ่งนี้หลังจากจบงานมหกรรมการจัดการความรู้แห่งชาติ ครั้งที่ 4 เมื่อปลายปีพุทธศักราช 2550  และเชื่อว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงหนึ่งในตัวข้าพเจ้า หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ทดลอง KM ภาคปฏิบัติจริงที่หน้างาน 2 แห่ง ในรูปแบบที่แตกต่างกัน

  • แห่งแรก ใช้เวลาประมาณ 4 เดือน การใช้ KM ภาคปฏิบัติของข้าพเจ้า ถูกกำหนดด้วยกรอบ ระบบงานเดิม เช่น ระบบ ISO 9001:2000   การTraining ในองค์กรนี้ ข้าพเจ้าประยุกต์ใช้รูปแบบของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แบบวง KM ในหลักสูตร การใช้โทรศัพท์อย่างน่าประทับใจ โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายพนักงานขายเป็นหลัก นับว่าได้ผลดีไม่น้อย สำหรับหลักสูตร การเพิ่มผลผลิต นั้น   ข้าพเจ้าเน้น การกระตุ้นจิตสำนึกพนักงาน เรื่องการอยู่รอดในการดำรงชีวิต ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่การขาดทรัพยากร รวมถึงความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรม ในการนำ model ตะวันตกต่างๆมาประยุกต์ใช้ ในอุตสาหกรรม ด้วยหวังว่าจะช่วยแก้ไขปัญหาและทำให้ดีขึ้น แต่กลับกลายเป็นตัวปัญหาการประยุกต์ใช้ในหลายๆโรงงานไทย ...ทำให้ข้าพเจ้าได้รับเสียงสะท้อนจากพนักงานในแง่มุมที่ดี เขาเข้าใจได้ง่าย นำไปใช้งานได้เลย และเป็นที่พึงพอใจของฝ่ายบริหารที่ต้องการให้เกิดประสิทธิผลจากการอบรม เนื่องจากมีการติดตามผลของการเปลี่ยนแปลง มีการวิเคราะห์ ประเมินผล นำเสนอเข้าที่ประชุม ด้วยนั่นเอง จึงนับเป็นรูปแบบหนึ่งที่ข้าพเจ้าจัดการขึ้นเพื่อตอบโจทย์ขององค์กรนี้โดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าคล้ายรู้สึกว่าเป็นเพียง Process หรือกระบวนการที่ถูกออกแบบภายใต้ข้อกำหนดบางอย่าง ซึ่งอาจไม่ใช่ประโยชน์ที่แท้จริงของธุรกิจ หรือ ประโยชน์ที่แท้จริงของหนึ่งหน่วยบุคคลากร  

      เมื่อเดือนที่แล้วข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จากพนักงานลูกน้องเก่าในบริษัทฯแห่งแรกนี้ ...เธอกำลังจะได้รับการโปรโมท ให้ดำรงตำแหน่ง HR Manager จึงขอคำปรึกษาข้าพเจ้าในหลากหลายประเด็นเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว สิ่งหนึ่งที่เธอตั้งคำถามกับข้าพเจ้า คือ “ ทำไมข้าพเจ้ามีวิธีตอบคำถามที่ตรงใจ ? ”  ข้าพเจ้าตอบว่า “บางคนตั้งคำถามไม่ตรงกับสิ่งที่ตนต้องการคำตอบ … แต่สมาธิในระดับหนึ่ง จากเรื่อง KM ภาคปฏิบัติตนเอง เช่นเรื่อง การรับรู้ เป็นต้น จะทำให้เราผู้ตอบ รู้ว่า ผู้ถามต้องการอะไร และต้องจำแนกแจกแจงรายละเอียดลงไป ในแต่ละรายบุคคล ซึ่งมีพื้นฐานการรับรู้ที่ไม่เหมือนกันเลย ”   จริงๆแล้ว ข้าพเจ้าได้เคยเป็นผู้เรียน วิธีตอบหรือสอน แบบที่เธอสงสัยนี้ ตอนนั้นข้าพเจ้าอายุ 26 ปี รู้สึกว่าแปลกดี และแตกต่างจากวิธีการสอนที่ข้าพเจ้าเคยได้เรียนในสังคมการศึกษาทั่วไป และการTrainingต่างๆ ในขณะนั้นจวบจนถึงปัจจุบันนี้  ในวันนี้ข้าพเจ้าจึงไม่อยากเชื่อจริงจังนักว่า ข้าพเจ้าพอที่จะทำตัวเป็นผู้ตอบคำถาม หรือถ่ายทอดแบบที่ข้าพเจ้าเคยชอบเรียนได้บ้าง ก็นับเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้ามีความภาคภูมิใจลึกๆ ในการฝึกฝน KM ภาคปฏิบัติ

  • แห่งที่ 2 สำหรับการฝึกฝน KM ปฏิบัติ ใช้เวลาประมาณ 14 เดือน ข้าพเจ้าได้มีโอกาส สัมผัสกับผู้เชี่ยวชาญ และผู้ชำนาญการในหลากหลายอาชีพ หรือ หลากหลายแขนงงานนั่นเอง แต่ละท่านมีความโดดเด่นเฉพาะตัว เช่น ช่างดัดแปลง นักการค้าขาย นักเดินกระดาษ ที่ปรึกษาแนวตะวันตก นักอื่นๆ...ที่สูงด้วยวัยวุฒิและคุณสมบัติเด่น  ซึ่งสมาชิกมืออาชีพเหล่านี้ ล้วนผ่านการฝึกฝน และมีประสบการณ์การทำงานสั่งสม เกิน 10 ปี ในวัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่าง ทั้งแนวตะวันตก ตะวันออก ไทย และเทศ มารวมตัวกัน เพื่อสร้างระบบงานใหม่ และองค์กรใหม่ขึ้นมา ยิ่งกว่านั้นในที่นี้ก็มีกลุ่มคนที่ยังขาดประสบการณ์หรือประสบการณ์ทำงานยังน้อยรวมอยู่ด้วย ทำให้เป็นที่รวมของความแตกต่าง เกี่ยวกับ Tacit Knowledge และวัฒนธรรมการทำงาน จึงนับเป็นระบบเปิดที่ท้าทายและน่าสนใจอย่างยิ่ง ในการทดลองใช้ KM ปฏิบัติ ของข้าพเจ้า นักต่างๆที่ข้าพเจ้าเอ่ยถึง ล้วนเป็นนักเรียนรู้ในสายเลือดอยู่แล้ว เขาพร้อมที่จะเล่าประสบการณ์ของเขาแลกเปลี่ยนกับเรา โดยอัตโนมัติ ตามที่เราเริ่มเปิดประเด็น เล่าเรื่องขึ้น ซึ่งอาจอยู่ระหว่างการเดินทาง ระหว่างการทำกิจกรรม หรือเกิดขึ้นระหว่างการประชุม โดยไม่ต้องบอกเขาว่าต้องเล่าเรื่อง มีข้อกำหนดเช่นนั้น เช่นนี้ กระบวนการจะเดินไปเองโดยธรรมชาติ บางครั้งก็เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในลักษณะการกระทำ หรือกิจกรรม เช่น การทำอาหารที่หลากหลายรส แต่มีความเอร็ดอร่อยแตกต่างกันตามสไตล์ของแต่ละท่าน แต่ละกลุ่ม เทคนิคเคล็ดลับต่างๆ ในการทำอาหารก็จะถูกถ่ายทอดออกมา... ข้าพเจ้าต้องยอมรับว่า พวกเขาเป็นผู้ชาย แต่ทำอาหารได้อร่อยแบบที่ข้าพเจ้าเป็นผู้หญิงต้องอาย อาจเป็นด้วยบรรยากาศที่ดี เอื้อต่อการเรียนรู้ องค์กรแห่งนี้จึงเป็นแหล่งฝึกฝน KM ปฏิบัติ ของข้าพเจ้าอย่างเต็มภาคภูมิ นอกจากนี้มูลค่าเพิ่มที่ข้าพเจ้าได้รับ คล้ายกับเป็นการเปลี่ยนแปลงตนเองไปสู่การคิดนึก หาแนว หรือ วิธีการทำงาน ภายใต้ทรัพยากรที่มีจำกัด หรือ แทบไม่มีเลย รวมถึง การฝึกฝนสภาวะจิตใจให้แข็งแกร่ง การปรับทัศนคติของตนเองให้มองในสิ่งที่ดีงามอยู่เสมอ รู้จัก การให้อภัย รู้จัก การมีความเมตตา เอื้ออาทร ที่ละเอียดอ่อน เป็นต้น ที่นี่ข้าพเจ้ามีโอกาสเผยแผ่ให้ผู้ร่วมงานได้สร้างสภาวะจิตใจของการให้อภัย ลดความขัดแย้ง เนื่องด้วยสภาวะของบรรยากาศ และธรรมชาติรอบด้าน ทำให้ผู้ร่วมกระบวนการนี้ ซึ่งเขาไม่รู้ตัวเลย เกิดการเปลี่ยนแปลง รับลูก และส่งลูกกันไปมา ได้อย่างรวดเร็ว คล้ายกับมุ่งสู่เรื่องของการทำความดี และสร้างความเป็นสุขในการทำงานด้วยสิ่งง่ายๆรอบตัวเท่าที่มีอยู่เท่านั้น คล้ายทุกข์กาย ไม่ได้ดังคาดหวัง แต่สุขใจ เมื่อทำใจได้และมีความอดทน รู้จักรอคอย เป็นต้น  ไม่มีเรื่องของความสำเร็จใหญ่โตในผลของงานในองค์กรแห่งนี้ แต่มีความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจมากมายเหลือเกินในการพัฒนาตนเอง การพัฒนาร่วมกันระหว่างเพื่อนร่วมงาน ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นความสุข หรือความทุกข์ ที่แปรเปลี่ยนตามสภาพจิตใจของคนอยู่ตลอดเวลานั่นเอง และนับเป็นคุณค่าที่ประเมินราคามิได้

      สิ่งที่ข้าพเจ้าคิดนึก เพื่อลงมือทำต่อไป คือ การสร้างงานเล็กๆที่ช่วยให้หนึ่งหน่วยของคน ดำรงชีพอยู่รอดในภาวะการณ์ปัจจุบัน และสามารถเอื้อประโยชน์ มีคุณค่า หรือมูลค่าในบริบทอื่นที่อาจคาดไม่ถึง หรือไม่ได้คาดหวัง

      ข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะเขียนเล่าเรื่องราวที่ข้าพเจ้าเดินทางฝึกฝนการเรียนรู้ หลังจบจากสถาบันฯ เป็นประเด็นๆไป จนกว่าจะหมดกระเป๋าการเรียนรู้ เพื่ออาจเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้สนใจบ้างไม่มากก็น้อย

      จุดเปลี่ยนแปลงสุดท้ายของการตัดสินใจก่อนที่จะนำมาสู่การสรุปการคิดคำนึง ณ เวลานี้ คล้ายกับว่าข้าพเจ้าคิดนอกกรอบแบบมีช่องให้ มีทางไป...เรื่อยๆ ซึ่งอาจนำไปสู่การทำผิดคุณธรรมหรือจริยธรรมได้ ถ้าขาดตัวพิจารณา ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในการทำงานชิ้นหนึ่งชิ้นใดหรือส่วนงานก็ตาม ...ที่ข้าพเจ้าถลำลึกลงไป  ข้าพเจ้าพบกรอบอาการที่เรียกว่า "หลง"  แน่นอนช่วงเวลานั้น ข้าพเจ้าได้รับสัญญาณเตือนจากมิตรสหาย ทั้งจากที่ทำงาน และไม่ใช่ ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจเรื่องน้ำมิตร มิตรแท้ …เพิ่มขึ้น เหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้าทบทวน ตามที่ผู้รู้เคยกล่าวกับข้าพเจ้า “ปัญญาเป็นดาบสองคม” ข้าพเจ้าจึง "หยุด"… และมุ่งสู่ วิธีการปฏิบัติที่เรียกว่า “เมตตา”  ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใด… ตราบที่ข้าพเจ้ายังเหลือเวลาในโลกปัจจุบันนี้…  ก็ไม่แน่ว่าข้าพเจ้าจะทำได้มากน้อยเพียงใด...

      ข้าพเจ้าได้รับคุณูปการมากมาย จากผู้คนรอบข้างข้าพเจ้าตลอดระยะเวลาที่ข้าพเจ้าเดิน…ในเส้นทางแห่งการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการนึกคิด หรือการค้นหาปัญญานั่นเอง ตอนนี้เริ่มมีนักศึกษาบ้าง อดีตลูกน้องบ้าง ซึ่งเป็นคนที่มีคุณภาพ มีศักยภาพ ใฝ่ในการเรียนรู้ และมีการพัฒนาตนเอง เข้ามารับการถ่ายทอด หรือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความรู้ร่วมกับข้าพเจ้าโดยบังเอิญ และข้าพเจ้าก็เริ่มคิดว่า บางทีองค์กรที่มีปัญหาซึ่งมีกรณีศึกษาให้ข้าพเจ้าได้ฝึกเรียนรู้มาตั้งแต่ยังละอ่อน ย่อมมีจุดสมดุลในตัวเอง แต่องค์กร หรือบุคคลากรที่พร้อมต่างหาก... พร้อมในจุดยืนของความดี ความเป็นคนดี พร้อมที่จะรู้จักยอมรับ พร้อมที่จะเป็นผู้ให้มากกว่ารับ ฯลฯ คือ กลุ่ม หรือหน่วยที่น่าสนใจร่วมงานพัฒนา เพื่อนำไปสู่สิ่งที่ดี สิ่งดีงามยิ่งๆขึ้นไป เพราะ…



ความเห็น

ยังไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย