รักเธอ...ประเทศไทย


เกิดเป็นไทย ใช่เป็นเพียงแต่ชื่อ

         ระยะนี้บ้านเมืองมีเรื่องที่น่าวิตกมากมายเหลือเกิน แต่ในฐานะที่เราทุกคนเกิดมาเป็น "คนไทย"อยู่ใต้พระบารมีขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยกัน ควรจะแสดงความจงรักภักดีต่อองค์พ่อหลวง ด้วยการไม่ทำให้บ้านเมืองระส่ำระสาย หรือ เกิดกระแสที่ไม่ดีต่อประชาคมโลกกันมากกว่านี้ดีกว่าค่ะ เพียงแค่เราสำนึกในหน้าที่ของเราที่ควรทำ ควรปฏิบัติ และไม่ก้าวก่ายหน้าที่ของคนอื่น และอย่ามองความผิดพลาดของคนอื่นจนลืมหันมามองความผิดพลาดของตนเอง เพียงเท่านี้ เราทุกคน ก็สามารถทำให้บ้านเมืองของเราสงบสุขได้มากขึ้นอีกโขเลยล่ะค่ะ อย่างที่ว่ากันว่า "น้ำผึ้งหยดเดียว" จนเป็นจุดที่ก่อให้เกิดเรื่องราวลุกลามใหญ่โต ก็สามารถเกิดเรื่องราวลุกลามใหญ่โต จากมดหนึ่งตัว เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นฝูงมดมหาศาล เกิดความเดือดร้อนให้ส่วนต่างๆ ทั่วหน้า เป็นแค่ตัวอย่างที่ยกให้ฟังค่ะ เพราะในความเป็นจริงน้ำผึ้งไม่ได้ก่อให้เกิดเหตูการณ์ที่น่าวิตกขนาดนี้หรอกค่ะ แต่คนเราต่างหาก ที่พยายามนำเรื่องเล็กๆน้อย มาตีความและวิจารณ์ให้เกิดการกระทบกระทั่งจนเป็นเรื่องราวใหญ่โตไปได้ ทั้งๆที่ ปัจจุบันนี้ ประเทศกำลังต้องการความสมานฉันท์ สามัคคี ของ "คนไทยทั้งประเทศ" ไม่อยากเห็นพี่น้องชาวนาชาวไร่ ต้องออกไปเดินขบวนประท้วงโน่น-นี่ ไม่อยากเห็นนักการเมืองออกมาโต้ข่าวว่ากัน กระทบกระเทียบกัน ไม่อยากเห็นครอบครัวแต่ละครอบครัว เกิดความไม่ปรองดองกัน เราเริ่มตั้งแต่วินาทีนี้เถอะค่ะ รักกันมากๆ เรา "คนไทย" เหมือนกัน ควรรัก สมัครสมาน สามัคคีกัน ไว้ดีกว่าค่ะ จะได้เป็นภูมิคุ้มกันให้ประเทศเราก้าวผ่านวิกฤตในโลกยุคนี้ไปด้วยดี ระดมความคิดเพื่อช่วยกันแก้ปัญหา สร้างเสริมเกราะป้องกันประเทศ มิให้ตกเป็นเมืองขึ้นทางความคิดของประเทศอื่นๆ อย่ามองว่าคนนี้ รวย คนนี้จน เราคนเหมือนกัน ตายไปก็อยู่ได้เพียงพื้นที่สี่เหลี่ยมกว้างศอก ยาววา เท่านั้นเอง หากถ้อยคำพร่ำบ่นของมะนาวหวาน เป็นที่น่ารำคาญของใคร ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ มะนาวหวาน เพียงแค่อยากให้ประเทศเรา และโลกใบนี้ดูสงบสุขมากกว่าที่เป็นอยู่เท่านั้นเองค่ะ
     และขอเป็นกำลังใจให้ผู้ที่ทำงานเพื่อประเทศที่เสียสละแรงกาย และใจ เพื่อ การพัฒนา และการเยียวยารักษาโรคบาดหมางในประเทศทุกๆคนเลยนะคะ

หมายเลขบันทึก: 194087เขียนเมื่อ 14 กรกฎาคม 2008 13:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 01:02 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

ขอบคุณคุณวรชัยค่ะ มะนาวหวานก็ได้แต่ภาวนา และทำในสิ่งที่อยู่ในขอบเขตหน้าที่ และพยายามไม่ยั่วยุ ให้กลุ่ม หรือฝูงชน เกิดความแตกแยกกัน เป็นดีที่สุดนะคะ

รักประเทศไทยค่ะ

ต้องทำให้ พระราชดำรัส ของในหลวงเป็นจริงให้ได้ครับ..อย่าให้คนไม่ดี มีอำนาจปกครองบ้านเมือง..หากทำได้แบบนี้ บ้านเมืองจะสงบสุข ..อย่าวางเฉย ทำแต่หน้าที่ของตัว ลืมสังคม และ ประเทศ หากทำได้ เมืองไทย จะเป็น เป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดครับ

 ท่าน ว. วิชิรเมธี..(เอามาฝากครับ)

ท่าน ว.วชิรเมธี ชี้ทางสว่าง ระบุในทางพุทธ ความเป็นกลางทางการเมืองคือ การยืนอยู่ข้างธรรมะและความถูกต้อง มิใช่การอยู่เฉยๆ อย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ เพราะการอยู่เฉยๆ นั้นจะนำประเทศไทยไปสู่หายนะ สงสัยระบบการศึกษายิ่งสอนยิ่งทำให้คน “เชื่อง” ส่วนพระสงฆ์ควรเป็นต้นแบบของการวางตัวเป็นกลางทางการเมือง โดยต้อง ‘ถ่ายทอดธรรม’ ให้กับนักการเมือง แต่ไม่เล่นการเมือง
       
       นิตยสารเนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 กรกฎาคม 2551 หน้าที่ 54 ในคอลัมน์ธรรมาภิวัฒน์ ว.วชิรเมธี หรือ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ได้เขียนบทความเรื่อง “ความเป็นกลาง = ความเป็นก้าง” อธิบาย เหตุผลในการวิจารณ์ทางการเมืองของท่านที่ส่งผลเสียต่อรัฐบาล
       
       ทั้งนี้ ท่าน ว.วชิรเมธี อธิบายว่า ท่านไม่เห็นด้วยกับทัศนะของคนไทยส่วนใหญ่ที่ระบุว่า พระต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมืองด้วยการไม่พูดถึงการเมือง ไม่เล่นการเมือง และควรจะปล่อยวางเรื่องทางโลก มุ่งดับกิเลศอย่างเดียว โดยให้เหตุผลว่า “ในทางพุทธศาสนา ความเป็นกลาง ก็คือ ความเป็นธรรม ธรรมะคือความถูกต้อง ... ดังนั้น ภาวะที่เป็นกลาง การวางตัวเป็นกลาง ก็คือ การวางตนอยู่กับธรรมและธรรมอยู่กับใคร เราก็ควรจะสังกัดอยู่ในฝ่ายนั้น การเป็นกลางจึงไม่ได้หมายถึงการไม่เลือกฝ่าย”
       

       นอกจากนี้ ว.วชิรเมธี ยังกล่าวด้วยว่า “ความเป็นกลาง” ที่คนส่วนใหญ่ รวมถึง นักวิชาการ สื่อมวชนอ้างถึงนั้นเกิดจากความไม่รู้ “การอยู่เฉยๆ ไม่เรียกว่า การวางตนเป็นกลาง แต่ควรเรียกว่า วางตนเป็น ‘ก้าง’ คือ คอยขวางไม่ให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นในสังคม ... น่าเป็นห่วงมากที่ในสังคมไทยของเราคิดกันตื้นๆ ว่า การวางตนเป็นกลาง คือ การอยู่เฉยๆ และก็คนกลุ่มใหญ่พยายามขยายแนวคิดนี้ออกไปจนทำท่าจะเห็นดีเห็นงามกันทั้งประเทศ”
       

       “ระบบการศึกษาของคนไทยนี้มันผิดปกติตรงไหนหรือเปล่าที่เมื่อศึกษากันไปๆ ทำไมคนไทยถึงได้ ‘เชื่อง’ มากขึ้นทุกที มหาวิทยาลัย , สื่อมวลชน, วัฒนธรรม ที่ทำให้คนมีความแกล้วกล้าอาจหาญในการที่จะเผชิญกับความอยุติธรรม, ความเลวร้าย, ความฟอนเฟะ, ความสามานย์ของชนชั้นนำ หรือ ของคนทั่วไป ซึ่งเต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบายกลายเป็นจิ้งจอกของสังคม หายไปไหนกันหมด”
       
       “บ้านเมืองที่มากไปด้วยคนที่วางตัวเป็นกลางด้วยการอยู่เฉยๆ นั้น ไม่ต่างอะไรกับการเปิดทางให้ประเทศเดินเข้าสู่ความหายนะอย่างถาวรด้วยความยินดี ความสงบสุขที่ปราศจากปัญญานั้น เป็นความสงบสุขของป่าช้ามากกว่าของอารยชน ความนิ่งที่เกิดจากพื้นฐาน คือ ความกลัวนั้นไม่ต่างอะไรกับความนิ่งของสิงโตหินตามวัด”

       
       ขณะเดียวกันบทความชิ้นดังกล่าวยังอ้างอิงถึงสมัยพุทธกาลด้วยว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นนักประชาธิปไตย นักสิทธิมนุษยชน โดยหักล้างคำสอนเรื่องพระพรหม เรื่องระบบวรรณะ นอกจากนี้พระพุทธเจ้ายังทรงแสดงธรรมที่เกี่ยวข้องกับการเมืองเอาไว้มากมาย ทรงห้ามทัพ ทรงเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับสงครามระหว่างรัฐต่างๆ รวมถึงเสนอระบบเศรษฐกิจแบบ “ทางสายกลาง” ที่เน้นการบริโภคเพื่อความอยู่รอดมากกว่าการบริโภคเพื่อความมั่งคั่งอย่างไม่รู้จบด้วย
       
       ดังนั้นคำกล่าวที่ว่าพระสงฆ์ไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวกับการเมืองโดยสิ้นเชิงนั้น ว.วชิรเมธี จึงเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะในความเป็นจริงแล้ว ตามคำสอนของพุทธศาสนา พระสงฆ์ควร ‘ถ่ายทอดธรรม’ ให้กับนักการเมืองได้ แต่เล่นการเมืองไม่ได้และควรเป็นต้นแบบในการวางตนเป็นกลาง ด้วยการเลือกยืนอยู่ข้างธรรมะ ธรรมะอยู่ที่ไหน พระก็ควรอยู่ที่นั่น

  • การเมืองที่ไหนก็วุ่นวายกันอย่างนี้แหละหลานเอ๊ย  ความโลภของนักการเมืองที่ทำให้พวกเขาตาบอด ไร้ยางอาย และไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ ปลงเสียเถอะ
  • ลุงว่าที่ gtk เป็นที่สงบ  ไม่วุ่นวายเหมือนกับสังคมที่อื่น ที่นี่มีความรัก เสียสละ  ความเอื้ออาทรต่อกัน และมีแต่การให้
  • มีอะไรก็เข้ามาระบายในบันทึกได้  ลุงและทุกคนยินดีรับฟัง
  • ขอบคุณ คุณคนโรงงานที่นำคอลัมน์ธรรมาภิวัฒน์ของท่าน ว. มาฝาก อ่านแล้วทำให้ลุงหูตาสว่างขึ้นเยอะเลย  เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ  ขอสนับสนุนเต็มที่ครับ  คนแก่อย่างลุงคิดว่าปลกแล้วนา
  • ลุงว่าคุณ คนโรงงานน่าจะนำคอลัมน์ท่าน ว. ลงในบันทึกให้คนที่ยังไม่ได้อ่าน  ให้เขาได้อ่านกัน  และทำความเข้าใจเสียใหม่  ระหว่าง  "ความเป็นกลาง  กับความเป็นก้าง"

เหตุปัจจัยโย การณ์ใดจะเกิด มักต้องมีสาเหตุ จงดำเนินชีวิตตามประสาสัตว์โลกต่อไป

ขอบพระคุณ

อาจารย์ประจักษ์ ครูอภิชัย คุณคนโรงงาน และคุณลุงriceman มากๆค่ะ

ทุกๆท่านในที่นี้ และที่ท่องอยู่ใน gotoknow อีกหลายท่าน ที่มะนาวหวานคิดว่า น่าจะเป็นส่วนที่ช่วยหล่อหลอมคนยุคใหม่ให้รักประเทศไทยอย่างถูกวิถี และมีวิธีแบบสันติ กันแน่ๆเลยค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท