มีคนอี-เมล์ ข่าวมาให้ผมดังนี้
“เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม นายวิชาญ มีนชัยนันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ได้หารือกับ นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เตรียมเชิญหน่วยงานตระกูล ส. อาทิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หารือถึงการร่วมสนับสนุนงบประมาณให้หน่วยงานในสังกัด สธ.ได้แก่ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กรมสุขภาพจิต กรมอนามัย และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ เนื่องจากที่ผ่านมามีปัญหาในการติดต่อประสานงาน โดยจะทำโครงการให้เป็นพันธกิจรายปี เพื่อให้งานด้านสุขภาพขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพ”
ผมมีข้อสงสัยมานานแล้ว ว่าท่าทีของฝ่ายการเมืองต่อหน่วยงานที่ตั้งขึ้นแบบต้องการให้มีความเป็นอิสระจากฝ่ายการเมือง ตามข่าวข้างบน เป็นคุณหรือเป็นโทษต่อบ้านเมือง
ผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่จำเป็นต้องเป็นผลประโยชน์ด้านเงินทอง ผลประโยชน์ด้านอำนาจการเมือง หรือการต่างตอบแทน ก็เป็นผลประโยชน์ทับซ้อน
นักการเมืองเอาคนของตนเข้าไปเป็นกรรมการของรัฐวิสาหกิจ ก็เป็นผลประโยชน์ทับซ้อน คือนักการเมืองและพวกพ้องได้ประโยชน์ แต่องค์การและบ้านเมืองเสียประโยชน์ งานไม่ต่อเนื่อง
ในสหรัฐอเมริกา เขามีวิธีจำกัดอำนาจการเมืองไม่ให้เข้าไปก้าวก่ายการทำงานเชิงเทคนิคหรือการจัดการ แต่ในบ้านเราการเมืองชอบเข้าไปทำงานจัดการ ผมคิดว่าเป็นเพราะผลประโยชน์ทับซ้อนนี่เอง
วิจารณ์ พานิช
๑๔ ก.ค. ๕๑
บ้านเมืองเรายังต้องการคนใฝ่ใจเรียนรู้อีกมากครับ จึงจะทันนักการเมือง
conflict of interest กลายเป็นคำสำคัญในสังคมไทยขึ้นมา
จากคนระดับปกครอง นักการเมือง นั่นเอง..รัฐธรรมนูญ จึงพยายามให้
นักการเมืองไม่ต้องทำอะไร มไมหุ้นที่ไหน แต่จริงๆแล้ว พื้นฐานของเค้า
มีมาแต่ดั้งเดิม ..จริงๆแล้วควรเปิดเผยเสียด้วยซ้ำ ว่า นักการเมือง มีอะไรบ้าง
มีธุรกิจ มีหุ้น ที่ไหน ให้เปิดเผย แล้ว จะได้ เช็ค conflict of interest กัน
ได้ง่ายขึ้นครับ