เมื่อวันที23-25 เดือนมิถุนายน 2551 ได้ไปประชุมหาแนวทางการดำเนินงานเรื่องการให้คำปรึกษาแบบคู่ โดยให้คู่เพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะสามีของหญิงตั้งครรภ์ ให้เข้ามารับการปรึกษาร่วมกับภรรยา เพื่อจะได้ร่วมรับรู้และร่วมตัดสินใจ ในการดูแลรักษาอาจจะเป็นทั้งของสามีเองหรือภรรยาก็ได้ เพราะตอนนี้ต้องให้สามีเข้ามามีบทบาทมีส่วนร่วม ทำหน้าที่ของการเป็นพ่อตั้งแต่ภรรยาเริ่มตั้งครรภ์ ในอดีตถ้าภรรยาตั้งครรภ์สามีจะไม่เข้ามามีส่วนร่วมเพราะถือว่าเป็นเรื่องของภรรยา กับหมอและพยาบาล สามีไม่เกี่ยวทั้งๆที่การทำให้ภรรยาตั้งครรภ์นั้นสามีเป็นคนเกี่ยวข้อง ร้อยเปอร์เซ็นต์ หมอและพยาบาลไม่ได้เกี่ยวข้องเลย และภาระในการตั้งครรภ์และดูแลครรภ์เพื่อลูกตัวน้อยๆ ก็เป็นหน้าที่ของภรรยาคนเดียว ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นมาตลอดและภรรยาทั้งหลายก็ก้มหน้าก้มตารับไป โดยไม่ถามถึงหน้าที่บทบาทของพ่อเลย และคิดว่าเป็นหน้าที่ของคนที่เป็นแม่ ที่จะต้องอุ้มท้องและดูแลลูกในท้องเอง แม้บางครั้ง อาจจะต้องการความเอาใจใส่ ความห่วงใย และการดูแลจากสามีบ้าง
แต่ในปัจจุบันนี้ได้มีโรคที่ถ่ายทอดทางพันธ์กรรม หรือถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสู่ลูกได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคธาลัสซีเมียโรคดาวส์ซินโดรมแม้กระทั่งโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่มีผลต่อลูกในครรภ์ เช่นโรค กามโรค ซิฟิลิส หนองใน แผลริมอ่อน/ริมแข็ง รวมทั้งโรคเอดส์ ในด้านการดูแลรักษา เมื่อเราตรวจพบก็จะให้การดูแลรักษาได้แต่เฉพาะภรรยา เพราะสามีส่วนใหญ่ ่่จะไม่ยอมเข้ามารับการปรึกษาหรือดูแลรักษาด้วย เพราะคิดว่าตรวจพบที่ภรรยา การรักษา ก็เป็น เรื่องของภรรยา แต่หารู้ไม่ว่าโรคบางโรค ที่ตรวจจากภรรยาไม่พบแล้วถ้าไม่ได้ตรวจสามีด้วย ลูกที่เกิดมา อาจจะติดโรคที่มีในพ่อแต่ไม่มีในแม่ได้ ก็จะทำให้เด็กไม่ได้รับการป้องกันแก้ไข หรือการรักษาตั้งแต่อยู่ในครรภ์
จะเห็นได้ว่าโรคบางโรคสามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้ แต่ไม่มีการป้องกัน เพราะอาจจะ ไม่รู้มาก่อนก็ได้ เช่นโรคเอดส์ เพราะยังมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น ทั้งๆที่มีการให้ความรู้ การรณรงค์ กันมาตลอด และในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ที่โรงพยาบาล ที่เราพบกันว่า เมื่อตอนตั้งท้องแรก มีการตรวจหาเชื้อเอช ไอ วี แล้วตรวจไม่พบว่าติดเชื้อ แต่จะมาติดเชื้อในท้องที่ 2 หรือ ท้องที่ 3 เป็นที่รู้ดีว่า ภรรยาถ้ายังอยู่กันกับสามีคนเดิมแล้วติดเชื้อเอดส์ ก็แสดงว่าติดมาจากสามี แต่สามีไม่เคยตรวจเชื้อเอดส์มาก่อน จึงนำไปติดที่ภรรยาและมีโอกาสที่จะติดไปถึงลูกในท้องด้วย ส่วนภรรยาที่ติดเชื้อเอดส์แล้วถ้าแยกทางกับสามี หรือสามีเกิดมาเสียชีวิตก่อน ก็ต้องหาหัวหน้า ครอบครัวใหม่คือมีสามีใหม่ เพื่อมาดูแลตนเองและลูก ก็ไม่กล้าที่จะเปิดเผยผลเลือดตนเอง กับสามีใหม่ ก็จะเป็นการแพร่เชื้อไปสู่สามีใหม่ (เนื่องจากกลัวสามีแยกทาง จึงทำให้สามีเป็นผู้ติดเชื้อ รายใหม่ได้)
ดังนั้นในบทบาทของผู้ที่ให้การสนับสนุนการดำเนินงานแก่ผู้ปฏิบัติจึงต้องคิดหากลวิธี ที่จะนำมาใช้ในระบบบริการ เพื่อให้บริการแก่ประชาชนโดยคำนึงถึงสิทธิ และประโยชน์ ที่ประชาชนจะได้รับมากกว่าสิ่งอื่นใด จึงต้องปรับบทบาทของความเป็นพ่อให้เพิ่มขึ้น โดยหลังจากที่ภรรยาตั้งท้องแล้วสามีจะต้องเข้ามามีส่วนรับผิดชอบดูแลช่วยเหลือภรรยาอย่างไรบ้าง เริ่มตั้งแต่การมารับการปรึกษา แล้วมาเข้าโรงเรียนพ่อแม่ เพราะการที่จะเป็นพ่อเป็นแม่คน ควรจะมีการเรียนรู้ที่จะดูแลลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เพื่อจะได้เติบโตเป็นเด็กมีสุขภาพและพัฒนาการดี และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในสังคม ตอนนี้กรมอนามัยกำลังที่จะหาแนวทางลงสู่การปฏิบัติ ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า จะได้ผลมากน้อยเพียงใด ที่ภรรยาไม่ติดเชื้อยังจะคงไม่ติดเชื้อตลอดไป และสามีที่ไม่ติดเชื้อก็จะไม่ติดเชื้อตลอดไปด้วย
ความจริงแล้วปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าคนเรามีความรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อครอบครัว และต่อสังคม โดยการมีรักเดียวใจเดียว ถ้าเผลอใจไปก็ต้องใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ไม่ว้าคุณผู้หญิงหรือคุณผู้ชายถ้าเห็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพกถุงยางอนามัย หรือเรียกร้องให้ใช้ถุงยางอนามัยก็อย่าได้ปฏิเสธเลย เพราะคนรุ่นใหม่ต้องยืดอกพกถุงแล้วค่ะ
* เป็นความรู้ที่ดีมากเลยครับคุณหมอ ผมมีเรื่องปรึกษาขอคำแนะนำได้ไหมครับ
คือว่า ตอนนี้ภรรยาของผมตั้งครรภ์ได้ ๖ เดือน ไปซาวด์ดูหมอบอกว่า"รกเกาะต่ำ" ผมและภรรยควรระมัดระวังในเรื่องใดบ้างครับ ขอบคุณมากนะครับถ้าคุณหมอจะกรุณาให้คำปรึกษา
* ผมจะติดตามตลอดไปนะครับ
ขอบคุณค่ะทั้งคำถามของนักรบพเนจร
และคำตอบของคุณสุธิดา
โลกของg2k ดีแบบนี้เอง
จะมีกัลยาณมิตรมาช่วยตอบปัญหาให้
ทำให้ผู้ถามได้คำตอบเลย
และขอชื่นชมคุณนักรบพเนจร
ที่ได้ทำบทบาทของพ่อเป็นอย่างดี