ด้านหนึ่งที่ผมมอง.......เหตุหนึ่งที่หายไป


“….when we’re children,

สวัสดีกัลยาณมิตรชาว gotoknow ทุกท่านครับ

        นานหลายเดือนเหมือนกันที่ผมได้ไม่ได้เขียนบทความและคิดว่าคงมีหลายท่านที่รอคอยอ่านงานเขียนที่ผมถนัด หลายท่านอาจคิดว่าที่ผมหายไปคงหนีไม่พ้นการร่ำสุราดั่งเช่นนามแฝง   อรหันต์วิสกี้อิอิ...ครับ  ยังไม่หายไปไหนดอกครับ ผมยังมีความกระหายที่จะเขียนเรื่องราวผ่านความคิดจากสายตาที่เห็น จากประสบการณ์ที่ได้ประสบมา อาจจะถูกหรือผิดผมไม่อาจจะไปตัดสินได้เพียงแต่อยากจะเสนอมุมมองที่คนหลายคนอาจจะไม่คิดเหมือนผม หรืออาจจะมีความคิดดีๆ มาแลกเปลี่ยนหรือร่วมเสนอความคิดเห็นอีกด้านหนึ่งที่ต่างกันออกไป ผมคิดว่าเรื่อง เรื่องหนึ่งมีหลายมุมมองให้คิด เพียงแต่ว่าเราเองจะเลือกมองด้านไหน ที่ผมอยากจะนำเสนอเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ทั้งทางสังคม วัฒนธรรม ภาษา รวมไปถึงการใช้ชีวิตในผลที่มาจากการ

เปลี่ยนแปลงของโลกที่ไม่หยุดนิ่ง

  ผมจะเล่าให้ฟังอย่างนี้ครับ ผมอยากจะเริ่มตรงที่เกิดอะไรขึ้นในช่วงผมหายไปสักระยะหนึ่ง  

ตอนนี้ผมได้รับคำสั่งจากท่าน ผู้อำนวยการโรงเรียนให้มาช่วยสอนที่โรงเรียนอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ต่างอำเภอกัน  และด้วยเหตุผลที่ว่าโรงเรียนที่ผมจะมาช่วยสอนเป็นโรงเรียนที่ยังไม่ผ่านการประเมินโรงเรียนในฝัน ! 

( อืมม... เคยมีเพื่อนฝรั่งมาถามผมก็หลายคนครับว่ามันคืออะไร  ผมก็บอกไปอย่างภาคถูมิใจว่าเป็นนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการพัฒนาการศึกษาของชาติให้ดีขึ้น คงไม่ต้องอธิบายเป็น   How to….ให้มากความนะครับ)

            ผมได้มาประจำอยู่ที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในตัว อำเภอปางมะผ้า ช่วงแรก ๆ ผมยังไม่รู้ว่าสังคมที่นี่เป็นอย่างไร    เด็กที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง    เกิดคำถามต่าง ๆมากมายในหัวของข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าจะช่วยอะไรได้บ้างในการประเมินโรงเรียน โดยเฉพาะวิชาผมสอนคือ วิชาภาษาอังกฤษ ต้องเข้าใจธรรมชาตินะครับว่าเด็กๆ ทื่อยู่บนดอยจะได้เรียนรู้เท่าทันและเข้าใจได้รวดเร็วเหมือนเด็กในเมือง  ผมไม่อยากจะไปตัดสินว่าอะไรใครเหนือกว่าใคร

และใครได้อะไรมากกว่า แต่อยากให้พวกเขาได้รู้ว่าเขารับอะไรได้บ้างและนำไปใช้ประโยชน์ในการดำรงอยู่ได้อย่างไร โรงเรียนเดิมที่ผมเคยสอนส่วนใหญ่เป็นเด็กชาวเขาเผ่ากระเหรื่ยง    ม้ง    ไทยใหญ่ และคนเมือง  ซึ่งถือว่าเป็นโรงเรียนนานาชาติ (อิอิ...นานาเผ่าครับ)    ผมก็มีความคิดว่า ที่ทำงานใหม่คงไม่มีอะไรแตกต่างกันมากมาย   โดยเฉพาะการปรับตัวเข้ากับเพื่อนร่วมงานใหม่ ๆ เด็กกลุ่มใหม่ๆ คงจะน่ารักดังคาดหวังไว้....อิอิ...รักเด็ก!  พอมาเริ่มสอนได้สักพักก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า การที่เราอยู่ต่างที่และต่างถิ่นย่อมมีความแตกต่างกันโดยเฉพาะในเรื่องของการอยู่ร่วมกันกับชนต่างเผ่า  ส่วนใหญ่แล้วความต่างมันอยู่ที่โดยทั่วไปในตัวอำเภอปางมะผ้าเอง ชนเผ่าที่อยู่กันหนาแน่นที่สุด คือ เผ่าลีซอ มูเซอดำ มูเซอแดง กระเหรี่ยง  ไทยใหญ่ และคนพื้นเมืองตามลำดับ ช่วงแรก ๆ ของการสอนที่นี่ผมรู้สึกสับสน และค่อนข้างที่จะไม่เข้าใจในด้านพฤติกรรมของเด็ก ๆ ที่นี่เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเด็กเผ่าลีซอ รู้สึกว่ามันขัดกับความรู้สึกเป็นอย่างมากที่เด็กเผ่านี้ค่อนข้างจะขี้เกียจ เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ชอบการบังคับ รักอิสระ (อันนี้เป็นคำพูดจากท่าน ผอ.ครับ อิอิ...) มีความเป็นชาตินิยมในชนเผ่าของตัวเอง ชอบแซวครูเป็นส่วนใหญ่รวมทั้งการขาดระเบียบเป็นอย่างมาก รักสนุกและชอบฟังเพลงในตอนที่ครูสอน โดยาเฉพาะการมีค่านิยมในด้านการเสพวัตถุนิยม คือการใช้โทรศัพท์มืถือ ผมคงจะไม่เถียงเพราะปัจจุบันถือว่าเป็นปัจจัยที่ห้าของมนุษย์ไปแล้วครับ และผมคงจะไม่แปลกใจถ้าเป็นเด็กในเมืองใหญ่ๆ  แต่ที่ผมแปลกใจที่สุดก็คือ ที่เด็กที่นี่นำมาใช้ทั้งในโรงเรียน ในชั่วโมงเรียน  ผมพยายามที่จะใช้จิตวิทยาในการสอน การพูดโน้มน้าวรวมทั้งการวางตัวกับเด็กที่นี่  แล้วผมก็ได้รับรู้ความเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก ผมไม่อยากเห็นเด็กเอาแต่สนใจในด้านวัตถุจนเกินไป  เด็กนักเรียนส่วนใหญ่แล้วมีฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี แต่ที่น่าแปลกก็คือว่าเกือบทุกคนมีโทรศัพท์มือถือใช้ และส่วนใหญ่แล้วใช้แบบที่ราคาแพง  แพงกว่าของผมอีก....อิอิ   และยิ่งมองย้อนไปในข้อความข้างต้นที่ได้กล่าวมาว่าจะมีการประเมินโรงเรียนในฝัน ทำให้ผมก็ยิ่งคิดหนัก และมองเห็นภาพไม่ออกเลยว่ามันจะออกมาในรูปแบบใด ผมคงจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้มากนัก.......................

 

ผมหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเล่มหนึ่งชื่อ    Reflection (ในห้วงคิดคำนึง) ซึ่งเขียนโดย Brock Tully

 เศรษฐวิทย์ เป็นผู้แปล มีอยู่ตอนหนึ่งที่อ่านแล้วสะกิดใจผมอย่างมาก นำมาฝากให้อ่านครับ

 

                             “….when we’re children,

                             we love to learn….

                             too often,

                             when we’re grown-ups,

                             we love to be right about

                             what we think we’ve learned…

                             and we love to teach those

                             who love to learn,

                             but we forget to learn

                             what those who love to learn

                             are teaching us.”

 

 

                               เมื่อเรายังเด็ก

                         เรารักที่จะเรียนรู้

                         และบ่อยครั้ง

                         เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่

                          เรารักจะเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง

                         ในสิ่งที่เราได้เรียนรู้มา

                          และรักที่จะสอนคนอื่น

                          ที่รักในการเรียนรู้

                         โดยลืมที่จะเรียนรู้ว่า

                          สิ่งที่คนอื่นรักที่จะเรียนรู้นั้น

                          กำลังสอนตัวเราอยู่......

                                                                    ..... ขอมอบความหวังและกำลังใจให้คุณครูทุกคนครับ....

 

หมายเลขบันทึก: 191718เขียนเมื่อ 2 กรกฎาคม 2008 09:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 00:50 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เป็นอย่างที่เห็น เห็นอย่างที่เป็น

โลกยุค goballisation ก็เป็นเช่นนี้

ทุกอย่างเป็นการเรียนรู้ทั้งหมด

ไม่มีดี ไม่มีชั่ว ไม่ถูกไม่มีผิด

เพียงแต่ว่าเราให้เด็กเรียนรู้ และเราก็เรียนรู้กับเด็ก

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกก็เป็นเช่นนี้

เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

เป็นกำลังใจให้คุณครูค่ะ

Good morning ครับ จันทร์เจ้า

  • ขอบคุณครับสำหรับกำลังใจดี ๆ 
  • คนส่วนใหญ่ต่างเห็นด้วยว่า " ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกรรม"
  • ขอบคุณอีกครั้งครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท