คำโบราณกล่าวว่า
"วจีคือสำเนียงเปล่งจากใจ กิริยา (ไซร้) คือเงาแห่งใจไร้ตัวตน"
นั่นก็หมายถึงว่า วาจานั้นเป็นเสียงที่สะท้อนออกมาจากจิตใจของคน และการกระทำก็เปรียบดั่งเงาของความคิดที่สะท้อนออกภายนอกเช่นกัน ฉะนั้น หากว่าจิตใจของเราเป็นเช่นไร กิริยาและวาจาก็จะเผยออกมาเป็นเช่นนั้น
ตรงกันข้าม ถ้าจิตใจของเราไม่ได้เป็นเช่นนั้น ก็หาได้แสดงกิริยาและวาจาออกมาเช่นนั้นไม่
ด้วยเหตุนี้ กิริยาวาจาที่แสดงออกมาภายนอกนั้น ก็เปรียบได้ดั่งตัวแทนของตัวตนจริงนั่นเอง แต่พระธรรมนั้นมิอาจที่จะห่างออกไปได้แม้เพียงชั่วขณะ เพราะฟ้าไม่อาจกล่าว ดินไม่อาจเอื้อนเอ่ย ดังนั้น ความวิเศษสูงส่งของพระธรรม จึงอยู่ที่การกระทำของพวกเราที่แสดงออกมานั่นเอง เช่นนี้แล้ว จะไม่สำรวมกิริยาวาจา และไม่ให้ความเคาระต่อพระพุทธในตนได้อย่างไรกัน
ฟ้ามีกฎของฟ้า ประเทศชาติมีกฎหมาย ผู้ฝึกตนตามพุทธวิถีก็ต้องมีพุทธระเบียบ หากว่าเราไม่ระมัดระวังคำพูด สร้างวจีกรรม ไม่สำรวมกิริยา เหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำร้ายผู้อื่น สุดท้ายคนรับทุกข์ก็คือตัวเจ้าเอง เพราะฟ้าเบื้องบนให้ความยุติธรรมแก่ทุกคน เป็นความเที่ยงธรรมไร้ความลำเอียง "ความดีเพียงน้อยนิดไม่ละเลย ความผิดเพียงเสี้ยวต้องสำรวจ"
ดังนั้น ภายใต้กฎแห่งเหตุต้นผลกรรมที่แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า ศิษย์เอ๋ย! หากเจ้ากระทำผิดแล้ว มีหรือจะหลุดพ้นจากกฎแห่งกรรมนี้ได้
ฉะนั้น ยามที่เราพูดก็ไม่สมควรใช้คำพูดไปทิ่มแทงใจคนอื่น หรือใช้คำพุดทำลายชื่อเสียงของผู้อื่น ยิ่งไม่ควรใช้คำพุดในทางที่ผิด เพราะถ้ากล่าวออกไปแล้ว คุณธรรมของเราจะเสื่อมไป
ราควรจะต้องกล่าววาจาที่เป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลาย ใช้วาจานั้นเสริมสร้างคุณธรรม และสร้างงานให้เกิดผล โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญธรรม วาจาที่กล่าวออกมาควรจะเป็นสัจธรรม สนทนาธรรมถกปัญหา ไม่พูดนินทาว่าร้าย ไม่สร้างวจีกรรม ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดไร้สาระไม่มีแก่นสาร เช่นนี้ จึงจะเรียกได้ว่า "สำรวมกายวาจา" อย่างแท้จริง
การสำรวมกิริยาก้เช่นเดียวกัน ควรต้องมีวาจาและการกระทำที่สอดคล้องกัน อีกทั้งต้องปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างและต้องแสดงออกซึ่งคุณธรรมภายในเป็นปากเป็นเสียงแทนฟ้า ให้ใจตนเป็นดั่งใจฟ้า ทุกขณะจิตคิดทำเพื่อประโยชน์สุขของเวไนย์ มีความสำรวมระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา ทั้งกายวาจาใจต้องเคร่งครัด หากปฏิบัติได้อย่างนี้แล้ว จึงถือได้ว่าเป้นผู้ปฏิบัติบำเพ็ญที่แท้จริง
ไม่มีความเห็น