- ในงานสัมนา "Value Culture &
สุนทรียพาสร้างสรรค์(Dialogue) Learning Organization & Knowledge
Management" จัดโดย ศูนย์พัฒนาและประกันคุณภาพ
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม นั้น มีจุดที่สะดุดใจผมมาก ๆ คือ
วิทยากรได้ใช้วิธีการ Action Learning
- กล่าวคือ ให้ผู้เรียนเรียนรู้จากการปฏิบัติ
ผ่านกิจกรรมที่เป็นเครื่องมือการจัดการเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น
ผู้นำสี่ทิศ, world cafe', voice dialogue เป็นต้น
- ถ้าดูผิวเผินแล้วจะเป็นกิจกรรมสนุกสนานเฮฮาศาสตร์อะไรประมาณนั้น
แต่ถ้าดูดี ๆ จะรู้สึกและสัมผัสได้ว่า
กำลังไต่บันไดความรู้อยู่ผ่านเครื่องมือกิจกรรมการเรียนรู้เหล่านั้นไปทีละขั้น
ๆ อย่างไม่ต้องรีบร้อน
- ที่สำคัญ
ท่านวิทยากรกระบวนการจะพยายามไม่รีบสรุปให้เห็นภาพสุดท้าย
แต่จะให้แต่ละคนค้นหาเห็นภาพสุดท้ายด้วยตนเอง ตามบริบท จริต
และศักยภาพของตนเอง ถ้าทางการศึกษาน่าจะเรียกว่า "Student center"
อะไรประมาณนั้น
- ถ้าทางธรรมคือให้เกิดหรือเห็น "ปฏิเวธ" ขึ้นนั่นเอง (ไม่ง่ายนัก
แต่ไม่ต้องรีบร้อน)
- ในส่วนตัวผมเอง เข้าใจว่า "ปฏิเวธ"
ตามประสบการณ์ของตนเองประมาณนี้ครับ ตอนที่ลาเรียนอยู่นั้น
มีวาสนาได้เรียนรู้ ธรรมะ ควบคู่ไปกับ การทำวิทยานิพนธ์
และกอล์ฟ ... กล่าวคือ เมื่อเราศึกษาปริยัติหรือทฤษฎีต่าง ๆ มา
เราก็นำไปปฏิบัติดูให้เข้าใจยิ่ง ๆ ขึ้น หรือพิสูจน์ดูว่า
เป็นจริงมากน้อยเพียงใด หรือให้เกิดความชำนาญ
- คล้าย ๆ กับว่า
ถึงแม้เราจะอ่านหนังสือหรือดูวีดีทัศน์วิธีการตีกอล์ฟจากแชมป์โลก
(ภาคทฤษฎี/ปริยัติ) ก็ไม่สามารถทำให้ตีกอล์ฟให้เก่งได้
จะต้องนำไปปฏิบัติฝึกฝนใช้อิทธิบาท 4
มีผุ้รู้คอยแนะนำมีฐานทฤษฎีที่ถูกต้องจึงจะทำให้ดีเก่งได้
- ถ้าถามว่า ปฏิบัติเอาเลยโดยไม่ต้องปริยัติ ไม่ได้หรือ ? จริง ๆ
แล้วหลายคนก็ทำได้ คือเป็นเจ้าของทฤษฎีซะเอง
แต่วิธีการต่อยอดจากผู้อื่นที่ศึกษามาก่อนก็จะทำให้ย่นระยะเวลาและไม่หลงทาง
จะเห็นได้จาก นักกอล์ฟหลายคนตีกอล์ฟมาหลายสิบปี
แต่พัฒนาไม่ขึ้นเพราะมันปฏิบัติจนเป็นอัตโนมัติไปหมดแล้ว
ภาษากอล์ฟเขาเรียกว่า ร่างกายมันจำไว้แล้ว (จิตไร้สำนึก)
- กับมาที่เรื่อง ธรรมชาติ ครับ
หลังจากที่ชีวิตเดินไปในทางธรรมอยู่เป็นเวลานาน
เมื่อต้องกลับมาทางโลกทีไรก็วุ่นวายเหมือนเดิม
(ตอนนั้นยังแยกส่วน)
- จนได้ฟังธรรมะจากหลวงปู่ชา สุภัทโท จึงทำให้เข้าใจคำว่า "สมมุติ"
คือ ความจริงทางโลก กับ "วิมุติ" คือ ความจริงทางธรรม
และเห็นภาพในหนังสือ ธรรมะง่าย ๆ สไตล์ผู้บริหาร ของท่านไร้กรอบ
ถึงกับร้อง ยูเรก้า! เลยครับ
- คือในตอนที่ยังไม่เข้าใจ เราก็แยกทางธรรมกับทางโลกออกจากกัน
เหมือน สร้างสมดุลวางอยู่คนละข้างของตาชั่งประมาณนั้น
- แต่...ความจริง อยู่ด้วยกันครับ กล่าวคือ "วิมุติ"
อยู่ข้างใน(ใจ) ส่วน "สมมุติ" อยู่ข้างนอก คล้าย ๆ กับใจบวช
แต่ใช้ชีวิตอย่างปุถุชน ไม่ใช่หนีโลก
แต่เผชิญโลกอย่างเข้าใจถ่องแท้ในธรรมชาติ ประมาณนั้นครับ
- ... โม้ซะจนเพลิน หาทางลงไม่เจอ! ...
- กลับมาที่ "ปฏิเวธ" ...
หลังจากที่เราเรียนรู้ปริยัติหรือทฤษฎี ควบคู่ไปกับการปฏิบัติ
ใช้อิทธิบาท 4 ฝึกฝนจนเข้าใจแล้ว ... ผมเข้าใจว่า
เมื่อเราเอามาบูรณาการเข้ากับบริบทและการดำเนินชีวิตของเราได้เมื่อไหร่
เมื่อนั้นจึงจะเรียกได้ว่า "ปฏิเวธ" ครับ
- คล้าย ๆ กับ การขึ้นเขา ขึ้นได้หลายทาง เดินขึ้นทางราบแต่ไกล
หรือปีนขึ้นทางหน้าผา หรือนั่งกระเช้า หรือกระโดดร่มลงมา
ถึงยอดเขาได้เหมือนกัน ผู้รู้ท่านก็สอนเราตามทางที่ท่านมาท่านใช้
- ปฏิเวธ ก็ทางที่เข้ากันได้กับจริต บริบทของแต่ละคน เหมือน
คำหลวงปู่ชา ท่านว่า "มรรค" มีอันเดียว แต่มีองค์ 8 สำหรับไปผู้เดียว
ไปด้วยตนเอง ประมาณนั้นครับ
เป็นแชมป์กอล์ฟครั้งแรกที่แข่งกับเพื่อน ๆ