เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน 2551 เป็นครั้งที่สองที่พวกเราได้รับเชิญอย่างไม่เป็นทางการ มาพูดคุยกันในเรื่องของเด็กและเยาวชน โดย นายสมพงษ์ ฐิติสุริยารักษ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดชุมพรแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว เป็นผู้นำในการเสวนา ก่อนหน้านั้นเราได้พบปะพูดคุยกันครั้งแรกเมื่อวันอังคารที่ 3 มิถุนายน 2551 ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า เมื่อมองจากเหตุปัจจัย 3 ส่วนที่มีผลต่อพฤติกรรมเสี่ยง คือ ครอบครัว, ตัวเด็กเอง และสิ่งแวดล้อม เด็กและเยาวชนของเราวันนี้อยู่กับครอบครัวที่มี “พ่อ-แม่” พร้อมหน้าพร้อมตาน้อยลง อยู่ในสภาวะที่เรียกว่า “เสี่ยง” ถึง 70% และอยู่ในสภาวะปกติเพียง 30%
เมื่อเด็กและเยาวชนกระทำความผิดต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และได้รับการตัดสินคดีความตามฐานความผิดที่ต่างกัน พวกเขาต้องถูกส่งตัวไปยังสถานสงเคราะห์เพื่อแก้ไขฟื้นฟูให้เป็น “คนดี” จะได้กลับสู่สังคมใหม่ในอนาคต แต่ทุกวันนี้...สถานสงเคราะห์ต่าง ๆ ได้รับการยืนยันชัดเจนว่า “รับยาก” เพราะเต็มจนล้นแทบทุกที่ เราจึงเริ่มต้นคุยกันในประเด็นว่า ทำอย่างไรจึงจะหา “บ้านที่เหมาะสม” เพื่อแก้ไขฟื้นฟูเขาเหล่านั้น นอกเหนือไปจากสถานสงเคราะห์ที่เป็นปัญหา
อ.สุชิน บุญเพ็ญ ผู้อำนวยการโรงเรียนสวีวิทยา ให้ข้อมูลในเรื่องนี้ได้ดี เพราะท่านเป็นแกนหลักในการดำเนินงานโครงการ “โรงเรียนสร้างฝัน” หรือในชื่อเต็มว่า “โครงการปรับปรุงข้อบกพร่องทางด้านการเรียนและพัฒนาพฤติกรรมของนักเรียนและเยาวชนแบบยั่งยืน จ.ชุมพร” มาอย่างต่อเนื่องตลอด 6 ปีที่ผ่านมา จากนั้นวงเสวนาก็ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนจำนวนหนึ่งที่มีพฤติกรรมบกพร่อง ผลการเรียนไม่ผ่าน ติด “0”, “ร” และ “มส” หลายวิชา ไม่อยากเรียนหนังสือ เบื่ออาจารย์ที่สอน ไม่ชอบวิชาที่โรงเรียนสอน หนีเรียน และเที่ยวกลางคืน มีพฤติกรรมเบี่ยงเบน พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง ไม่สามารถอบรมสั่งสอนได้ ฯลฯ
การแก้ไขและพัฒนาพฤติกรรมที่บกพร่องของนักเรียนจึงเป็นภารกิจสำคัญที่จะต้องร่วมมือกัน ให้นักเรียนเห็นคุณค่าในตนเอง รู้จักทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ตระหนักในการเป็นทรัพยากรบุคคลที่ดี มีคุณภาพชีวิต และอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข พร้อมกันนั้นก็ส่งเสริมให้นักเรียนได้มีโอกาสในการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ตามความถนัด และความสนใจของผู้เรียน โดยใช้ “โรงเรียนสร้างฝัน” เป็นส่วนหนึ่งของทางออก
อย่างไรก็ตาม วงเสวนาของเราได้เดินทางมาถึงบทสรุปที่ว่า “โรงเรียนสร้างฝัน” ก็ยังเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุอยู่ดี ศาลเด็ก, สถานสงเคราะห์, บ้านพักเด็ก, โรงเรียนสร้างฝัน ฯลฯ เป็นส่วนหนึ่งของระบบ Social Safety Net หรือ ตาข่ายความปลอดภัยทางสังคม เป็นการทำงาน “เชิงรับ” ที่ช่วยบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ให้ลูกหลานของเราที่พลั้งพลาด ตกลงมาจากปากเหวกระแทกลงสู่พื้นอย่างสิ้นหนทางแก้ไข
ถ้าเช่นนั้น การทำงาน “เชิงรุก” เพื่อแก้ปัญหาเด็กและเยาวชนของเราให้รอดพ้นจากสภาวะเสี่ยงในสังคมควรจะเป็นอย่างไร ?
การเสวนาครั้งที่ 2 จึงเป็นประเด็นสืบเนื่องโดยผมได้รับมอบหมายให้ “ออกแบบ” แผนที่ยุทธศาสตร์ (Strategy Map) มานำเสนอ โดยได้รับการสนับสนุนข้อมูลจากสมาชิกในกลุ่มของเรา
ผมเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ “เครือข่ายคุ้มครองเด็กและเยาวชน” ว่าควรจะมีองค์ประกอบ ได้แก่ ท้องถิ่น, การศึกษา, กลุ่มพลังแผ่นดิน, เครือข่ายเด็กและเยาวชน, ขบวนการยุติธรรม โดยมี โรงเรียนสร้างฝัน เป็นองค์กรรูปแบบพิเศษบริหารงานในลักษณะนำร่อง เพื่อสร้างฐานการเรียนรู้ในการฟื้นฟูนักเรียนที่มีพฤติกรรมบกพร่อง
ระบบอำนวยการเพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายให้ทำงานไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน ใช้การตั้งคณะกรรมการ (Board) ระดับจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน และหัวหน้าพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) เป็นเลขานุการ ดังแสดงในภาพที่ 1
ในส่วนของการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ เราได้ร่วมกันกำหนดวิสัยทัศน์ (Vision) เฉพาะเรื่องนี้ออกมาว่า “ยกระดับความสามารถของ สังคมชุมพร ในการคุ้มครองเด็กและเยาวชน” จากนั้นจึงได้ออกแบบรายละเอียดและการดำเนินงานขั้นตอนต่าง ๆ ออกมาเป็น 4 มิติ ตามหลักการจัดทำ แผนที่ยุทธศาสตร์ (Strategy Map) ดังแสดงรายละเอียดในภาพที่ 2
เรื่องนี้เป็น “หนังชีวิต” ครับ... ต้องติดตามชมอย่างต่อเนื่องและให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ผลดีที่เกิดขึ้นตามมา คือ อนาคตของลูกหลานของเรานั่นเอง.
ไม่มีความเห็น