ในการประชุมผู้ปกครองที่ผ่านมาได้มีโอกาสพูดถึงความร่วมมือระหว่างบ้านและโรงเรียนในการที่จะร่วมมือกันพัฒนาลูก ๆ ของเราให้เป็นคนดี จึงขอนำมาลงให้อ่านกันนะครับ
การเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี
บ้านและโรงเรียนร่วมมือกันได้อย่างไร
นายศักดิ์เดช กองสูงเนิน
ผู้อำนวยสถานศึกษา โรงเรียนเทศบาล ๔ (เพาะชำ)
>>>>>>>>>>>>>>>>>>><<<<<<<<<<<<<<<<<<
ถ้าจะถามว่าสิ่งที่ครูที่โรงเรียน และพ่อแม่ผู้ปกครองทางบ้านมีความต้องการเหมือนกันเกี่ยวกับการอบรมบ่มเพาะนักเรียน คำตอบก็คงจะคล้ายกันว่าต้องการให้บุตรหลานของเรา เป็นคนดี คนเก่ง และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนเรียกว่าเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมนั่นเอง ดังนั้นเมื่อมีจุดมุ่งหมายที่เหมือนกัน แต่ต่างกันโดยหน้าที่ โรงเรียนมีหน้าที่อบรมบ่มเพาะนิสัยที่ดี ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้ตามหลักสูตรกำหนด ถ้าผ่านเกณฑ์การประเมิน ก็จะได้รับประกาศรับรองการจบหลักสูตร แล้วผู้ปกครองจะมีส่วนในการเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีได้อย่างไร
การเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีนั้นอาจทำได้หลายวิธี เช่น
การช่วยสร้างค่านิยมที่ดี การสร้างค่านิยมที่ดี เป็นการสร้างลักษณะนิสัยที่เป็นค่านิยมที่ดีของสังคม ทำให้นักเรียนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม ซึ่งอาจทำได้โดย
๑.แสดงออกถึงความรัก ถึงแม้ว่าบางครั้งพ่อแม่อาจจะเหนื่อยจนลืมที่จะแสดงความรักกับลูก การสัมผัสลูบหัว ลูบหลัง การโอบกอด และบอกรักกับลูกเสมอเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้ลูกทำสิ่งที่ไม่ดี
๒. ชมและให้กำลังใจ การพูดเพราะ ๆ หรือให้คำชมเมื่อลูกทำดี จะเป็นเสมือนสิ่งที่ตอกย้ำให้ลูกทำแต่ความดี ถ้าลูกทำความดีมากควรให้รางวัลบ้าง การให้รางวัล และคำชมเป็นการให้แรงเสริมทางบวก เป็นกลยุทธ์ที่ดีที่จะให้ลูกปฏิบัติแต่ความดี ซึ่งมีเทคนิคการให้รางวัล เช่น
- ให้รางวัลที่ลูกชอบและสนใจ เด็กวัย ๔-๕ ขวบ อาจชอบของเล่น แต่เด็กวัย ๖-๗ขวบอาจชอบคำชมเชย
- พ่อแม่ควรให้รางวัลทันทีที่ลูกทำความดี เช่นลูกช่วยทำงาน ลูกทำการบ้านโดยไม่ต้องบอก เป็นต้น
- พ่อแม่ควรสังเกตรางวัลที่ลูกชอบ และต้องอย่าให้ลูกคิดว่าเป็นการให้สินบน
- ควรให้บ่อย ๆ พ่อแม่อย่าประหยัดคำชม ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะเหลิง ความดีนั้นถ้าลูกยิ่งรู้สึกว่าพ่อแม่มองเห็น เขาจะยิ่งปฏิบัติบ่อยขึ้นจนติดเป็นนิสัยที่ดีในที่สุด
๓. เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก เรื่องนี้มีผลเชิงประจักษ์ว่าพ่อแม่พูดเพราะ ลูกก็จะพูดเพราะ พ่อแม่ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ลูกก็จะไม่ทำ พ่อแม่เข้าวัดไปทำบุญประจำ ลูกก็มีแนวโน้มจะเป็นคนใจบุญแน่นอน
๔. ละเว้นพฤติกรรมที่ทำร้ายลูก นักจิตวิทยาแนะว่ามี ๑๐ พฤติกรรมที่ทำร้ายลูก ได้แก่
- ระบายอารมณ์กับลูกเมื่อคุณโกรธ
- ลงโทษลูกโดยไม่สอบถามเรื่องราวให้แน่ชัดก่อน
- ลงโทษลูกรุนแรงจนเกินเหตุ
- นำลูกไปเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น
- ตำหนิเมื่อทำผิด แต่ไม่เคยชมเมื่อทำความดี
- ใช้คำพูดแรง ๆ ทำร้ายจิตใจลูก
- ทำให้ลูกอับอายต่อหน้าคนอื่น
- บังคับให้ลูกทำตามความต้องการโดยไม่มีเหตุผล
- รักลูกไม่เท่ากัน
- ขู่ว่าคุณจะไม่รักเมื่อลูกไม่ยอมทำตามที่คุณบอก
๕. การสอนให้ลูกซื่อสัตย์ เด็กสามารถแยกแยะเรื่องจริงออกจากเรื่องที่เพ้อฝัน หรือเรื่องโกหกได้ตั้งแต่อายุ ๕-๖ ขวบ และพ่อแม่มีส่วนสำคัญในการฝึกให้ลูกซื่อสัตย์ได้ ดังนี้
- ทำเป็นแบบอย่าง การที่พ่อแม่ทำตามที่พูดเป็นแบบอย่างที่ดีโนเรื่องความซื่อสัตย์
- อย่าถามลูกว่า “ใครเป็นคนทำ” เพราะเด็กไม่กล้ารับผิด โดยเฉพาะเมื่อเด็กมีประสบการณ์ที่เคยถูกลงโทษเมื่อทำผิด
- เมื่อลูกทำผิดและกล้าที่จะบอกความจริง ควรกล่าวชมในความกล้าหาญ
- เมื่อดูโทรทัศน์ หรืออ่านหนังสือด้วยกันกับลูก ควรใช้โอกาสนั้นอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริง และสิ่งที่เป็นจินตนาการซึ่งเป็นไปไม่ได้
- บางครั้งลูกเล่าเรื่องที่เป็นจินตนาการของตนเอง อย่ามองว่าไร้สาระ ผู้ใหญ่ควรรับฟังอย่างตั้งใจ และช่วยอธิบายให้ฟังว่านั้นเป็นจินตนาการ
- อย่าหมายหัวว่าเป็น “เด็กขี้โกหก” การถูกมองว่าช่างโกหกตั้งแต่เด็ก จะทำทำให้เด็กเสียความภาคภูมิใจในตนเองในระยะยาวได้
การสอนลูกให้เป็นคนดีนั้น ไม่มีสูตรสำเร็จ พ่อแม่ควรเป็นคนช่างสังเกต ความชอบของลูกและเลือกใช้ให้เหมาะสมกับจริตของลูก แต่ที่สำคัญสิ่งที่พ่อแม่กระทำนั้นต้องเป็นการทำได้ด้วยความรัก ความหวังดีอย่างแท้จริง ย่อมสามารถพัฒนาลูกให้เป็นคนดี เป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว และสังคมประเทศชาติได้อย่างแน่นอน
ขอขอบคุณ
จากการประชุมที่ผ่านมา ที่ท่าน ผ.อ.ได้บอกว่าถ้าอยากให้ลูกเป็นอย่างไรก็ให้พูดและบอกเขาอย่างนั้นให้ตลอด เช่น เด็กดีของแม่นะ ได้กลับนำไปใช้กลับลูกแล้วค่ะ แล้วเรื่องที่ผ.อ.นำมาลงวันนี้นับว่าเป็นความรู้ใหม่จะได้นำไปปรับใช้กับลูกและลูก ๆ ที่โรงเรียนท.4 ของเราด้วยค่ะ