ไม่ใช่ไม่เชื่อใจ


มีคำตอบบางประการ ต่อคำถามของนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช และคำพูดในรายการ สนทนาประสาสมัคร เมื่อมีผู้นำเสนอความคิด จากมุมมองของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ถึงหนทางแห่งความสมานฉันท์ โดยเสนอให้นำผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง และนำความคิดความรับผิดชอบ ของอดีตนายกรัฐมนตรีไทย 4 ท่าน เพื่อนั่งปรึกษาหารือ และร่วมกันหาทางออก จากทางที่กำลังจะตัน ของการเมืองไทย

ไม่ใช่ไม่เชื่อใจ

อ้างอิง - ภาพ http://www.oknation.net/blog/DECHARIN

ทุกครั้ง

เวลามีใครมาถาม

ถึงความเชื่อใจในชีวิต

เช่นเมื่อคนที่เรารักโทรศัพท์ตามตัว พอบอกไปว่าอยู่ที่ใด ก็ยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นใดได้ หรือกระทั่งต้องคอยแอบไปยืนคุยในที่เบาเสียง พอให้คู่สายได้ตื่นเต้นน้อยลง ว่าไม่ได้กำลังคุยอยู่กับคนที่นอกลู่นอกทาง หรือต้องคอยหวาดระแวงในทุกครั้ง ยามคลาดสายตา

เช่นเดียวกับคำถามดังกล่าว

เมื่อใครสักคนหนึ่ง

ถามคำถามนี้

ว่าทำไมเราไม่มั่นใจนักการเมือง ไม่มั่นใจในตำรวจ ทหาร นักธุรกิจ หรือใครก็ตามในบ้านนี้เมืองนี้ ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็นิยมชมชอบ และบอกกล่าวว่าดีว่างาม กระทั่งมีบทพิสูจน์ด้วยเกียรติยศทางสังคม หรือแม้กระทั่งรางวัลความชื่นชมในระดับนานาชาติ ทำไมเราจึงหวาดระแวง

ยามใครถาม

ถึงคำถามต่อบุคคล

ผมมักต้องคิดให้มากเข้าไว้

ยิ่งในยามที่บ้านเมืองนี้ มึความแตกต่างในแต่ละความเชื่อ ความชื่นชอบชื่นชม กระทั่งมีความนิยมอันรุนแรง ผมยิ่งต้องประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า เช่นหากเป็นเมื่อก่อน หากใครถามถึงเหล่าประดาขุนทหาร คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ผมก็จะพยายามย้ำคำถาม เพื่อทวนความเข้าใจ

กระทั่งคอยพิจารณาท่าทีความเชื่อ

หรือความนิยมชมชอบในใจ

จากตัวของผู้ตั้งคำถาม

ยิ่งในยามบ้านเมืองวุ่นวาย ด้วยความร้อนแรงทางความคิด ผมยิ่งต้องคิดให้มาก ไม่ใช่เพราะไม่มีหลักการในตัวเอง เพียงแต่ผมคิดว่า หากสิ่งที่เราเถียงกัน สามารถนำไปสู่ทางออกของปัญหา หรือการทะเลาะด่าทอตบตี ทำร้ายทำลายระหว่างคนไทยด้วยกันเอง เพื่อแก้ปัญหา

ผมจะยอมร่วม

อยู่ในวังวนแห่งความรุนแรงนั้น

แต่ถ้าหากความรุนแรงนั้น ไม่นำไปสู่ทางออก

ผมก็ยังคงยืนยันที่จะสงวนท่าที ในแต่ละครั้งของความกร้าวร้าว หรือกระทั่งคอยนั่งมองดูทุกสิ่งอย่างด้วยความเงียบ คอยรับฟังมากกว่าแสดงความคิดเห็น หรือคอยยินดีพยักหน้าในแต่ละความคิดเห็น โดยยืนยันเสมอ ว่าการพยักหน้าคือการรับทราบว่าฟังอยู่ มิได้หมายความว่าเห็นด้วย

ในยามอยู่ในบ้านนี้เมืองนี้

ผมคิดในใจอยู่เสมอ

ถึงความสุข

ดังนั้น ผมจึงมิปรารถนาจะร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ในการทำร้ายทำลายบ้านเมือง อันน่ารักและงดงามในดวงใจผม และพร้อมจะยอมรับว่า ความแตกต่างไม่ใช่การทำลายบ้านเมือง เพียงแต่จุดร่วมที่เราสามารถอยู่ ในแต่ละความแตกต่างต่างหาก คือสิ่งสำคัญที่เราต้องสร้างให้เกิดขึ้นในบ้านเรา

ยิ่งในยามทุกข์

ยามผู้คนในชาติโศกเศร้า

กระทั่งรันทดกับวิบากเคราะห์มากมาย

ผมจะเห็นน้ำใจของผู้คนในบ้านเมืองนี้ ผมเห็นเสมอสำหรับความเอื้ออารีของผู้คน ยิ่งในยามเรารับรู้ความทุกข์ยากของคนในชาติ ยิ่งเราร้องไห้ยามเห็นความทุกข์ของผู้อื่น ผมเชื่อเสมอว่า คนที่สามารถร้องไห้ สามารถเศร้าเสียใจ กับสิ่งรันทดหดหู่ คือหนึ่งในน้ำใจสำคัญที่ยังคงทำให้เราอ่อนโยน และรู้จักเพื่อนมนุษย์ ด้วยหัวใจของกันและกันมากขึ้น

 

 

ในยามนี้ที่บ้านเมืองเป็นฝักเป็นฝ่าย

และงอกงามผลิบานเด่นชัด

ผมยิ่งต้องคิดให้มาก

สำหรับการเลือกอยู่ในท่ามกลางความแตกต่าง เพราะสิ่งสำคัญ คือหนทางออกของปัญหา การเลือกฝั่งเลือกข้าง ด้วยการยอมรับว่าหนทางใด จะนำพาไปสู่จุดยุติ โดยที่หลักการแห่งความดีความเลว ยังคงไม่ถูกทำลายนั้น ช่างเป็นสิ่งซึ่งยากลำบากยิ่ง ในยุคที่การตีความเริ่มบางเบาง

ในยามนี้

เมื่อมีใครถามถึง

กำลังตำรวจทหารผู้ถืออาวุธ

ผมมักนึกถึงด้วยความหวาดระแวง สำหรับสิ่งซึ่งซ่อนอยู่เบื้องหลังสังคมแห่งอำนาจ เช่นที่สังคมไทยเป็นมา และยังคงดำเนินต่อไป ผมมักจะคิดถึงหลักแห่งความเป็นคน ยามใครสักคนยืนขึ้น เพื่อชี้ให้ฆ่าฟันผู้คนในสงครามยาเสพติด เพราะสิ่งที่ผมคิด คือความไม่ไว้วางใจ

ผมไม่เห็นด้วยกับการค้ายาเสพติด

แต่ผมก็ไม่ไว้ใจผู้ถืออาวุธ

ผมเชื่อความยุติธรรม

ที่เราต้องนำตัวผู้ถูกกล่าวหา ไปสู่กระบวนการยุติธรรม ไปสู่ขั้นตอนของการพิสูจน์ตัวตน พิสูจน์ปากคำ พิสูจน์พยานหลักฐาน ก่อนจะระดมเสียงด่าทอ เพียงเพื่อให้เกิดการตั้งศาลเตี้ยขึ้นในบ้านในเมือง เพราะสิ่งที่ผมหวาดกลัวมาตลอดชีวิต คือความใหญ่โตของผู้คน ในยามมีอำนาจ

ผมกลัวโทสะ

และความลุ่มหลงในใจ

ในแต่ละตัวตนของอำนาจ

ซึ่งเกาะกินฝังใน อยู่ท่ามกลางวิถีชีวิตคนไทย ยามใครมีเงิน มีปืน มีทุน มีกฎหมาย เท่ากับเขาเหล่านั้นมีอำนาจ เหนือกว่าคนไทยคนอื่น และบ่อยครั้งที่พวกเขาใช้อำนาจเหล่านั้น ในการกลั่นแกล้งผู้อื่น ยิ่งในยามนี้ที่ผมฟังนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช มาพูดถึงบ้านเมืองนี้

ว่าพร้อมจะตัดสินใจคนเดียวได้

เพราะบางอย่างบางเรื่อง

ต้องทำคนเดียว

ผมก็ยังคงไม่คิดอะไรมากนัก เพราะผมเชื่ออยู่ภายในใจลึกลึกว่า บ้านนี้เมืองนี้เป็นของคนไทยทุกคน ไม่ใช่ของ คุณสมัคร สุนทรเวช เพียงคนเดียว แม้ใครจะอุปโลกน์และแต่งตั้งให้สวมหัวโขนแห่งเกียรติ ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่สุดท้ายบ้านนี้เมืองนี้ ก็ยังคงต้องเป็นของคนไทยทุกคน ในแต่ละคำถาม แต่ละการตรวจสอบ แต่ละการมีส่วนร่วม

ไม่ใช่ผมไม่เชื่อใจ

และไม่ใช่ผมไม่ไว้ใจในคำพูด เพียงแต่ความรักร่วมในผืนแผ่นดินไทยเดียวกันนี้ ซึ่งเป็นของคนไทยทุกคน เป็นของอดีตนายกรัฐมนตรีไทย นักการเมืองไทย ประชาชนคนไทย ที่ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี หรือนักการเมืองไทยเท่านั้น ที่จะสามารถชี้ชะตาประเทศชาติ

ดังนั้น คนไทยจึงมีสิทธิ์เข้าห้องน้ำร่วมกัน 

เพื่อตรวจสอบสิ่งที่นายกรัฐมนตรี

จะยักใส่กระเป๋ากางเกง

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 187229เขียนเมื่อ 10 มิถุนายน 2008 10:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 00:29 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท