เวชจริยศาสตร์และการคิดเชิงวิพากษ์
วิจารณ์พานิช
ข้อเขียนสำหรับนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่๑ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ในวิชาเวชจริยศาสตร์และการคิดเชิงวิพากษ์
ชั่วโมงสอน๙.๐๐ –๑๒.๐๐ น. วันที่๔ มิถุนายน ๒๕๕๑
จริยศาสตร์ หมายถึง วิชาที่กล่าวถึงความประพฤติและการครองชีวิต(อ. Ethics) (พจนานุกรมฉบับมติชน๒๕๔๗)
จริยศาสตร์เชิงทฤษฎีอาจค้นได้จาก อินเทอร์เน็ต เช่นhttp://hu.swu.ac.th/ph/philosophy_ethics.htm
หนังสือแนะนำ
- ธรรมนูญชีวิต พุทธจริยธรรมเพื่อชีวิตที่ดีงาม โดย พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ. ปยุตโต)
- คันฉ่องส่องจริยศาสตร์โดย สุลักษณ์ ศิวรักษ์
- จริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม http://www.tmc.or.th/service_law02_1.php, การปลูกถ่ายอวัยวะhttp://www.tmc.or.th/service_law02_3.php , การวิจัยในมนุษย์ http://www.tmc.or.th/service_law02_6.php, การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด http://www.tmc.or.th/service_law02_7.php, การปฏิบัติตนในกรณีที่มีความสัมพันธ์กับผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพhttp://www.tmc.or.th/service_law02_8.php,
ทำไมนักศึกษาแพทย์ต้องเรียนวิชานี้
ที่จริงความรู้และทักษะด้านจริยธรรมและการคิดเชิงวิพากษ์หรือคิดอย่างมีวิจารณญาณเป็นสิ่งที่คนทุกคนต้องมีหรือควรมี แต่คนเป็นแพทย์ถือเป็นผู้มีการศึกษาสูงและต้องรับผิดชอบสูง จึงต้องเรียนู้เป็นพิเศษ เพื่อให้เป็นคนที่มีพฤติกรรมเข้าใจเห็นอกเห็นใจคนอื่น เข้าใจเรื่องราวต่างๆในสังคม และเรื่องราวของผู้เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ป่วย ญาติของผผู้ป่วยผู้ร่วมงาน และผู้คนในสังคมรอบด้าน อย่างรู้เท่าทันและอย่างรอบด้าน
คนเป็นแพทย์ต้องมีระดับมาตรฐานจริยธรรมสูงกว่าคนทั่วไปเพราะแพทย์มีความรู้พิเศษสามารถกระทำการโดยผู้อื่นไม่รู้เท่าทัน และผู้ถูกกระทำก็ยินยอมให้ทำด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ แพทย์จึงต้องเป็นคนที่ “ไว้ใจได้”คือมีมาตรฐานจริยธรรมสูงนั่นเอง
คนเป็นแพทย์ต้องช่างสังเกตมองเห็นและรับรู้สิ่งต่างๆ อย่างละเอียดอ่อน มีพื้นความรู้ที่ลึกซึ้งสำหรับนำมาตีความทำความเข้าใจ ใคร่ครวญรับรู้สิ่งต่างๆเหล่านั้นได้หลายแง่หลายมุม สามารถเรียนรู้จากการตีความของผู้อื่นที่รับรู้และตีความไม่เหมือนตน ก็จะยิ่งมีปัญญาแตกฉานขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุ
พื้นฐานนี้จะช่วยให้คนเป็นแพทย์เข้าใจคนอื่นที่มีพื้นฐานแตกต่างจากตน ช่วยให้แพทย์สามารถสร้างความสัมพันธ์กับผู้ป่วย ญาติผู้ป่วยและเพื่อนร่วมงาน รวมทั้งคนในชุมชนและสังคม ช่วยให้ทำหน้าที่แพทย์ได้ดีขึ้น เป็นแพทย์ที่ครองใจคน
ความคิดควบคุมการกระทำ
พฤติกรรมของแต่ละคนเป็นตัวกำหนดชีวิตของคนนั้นๆ หรือกล่าวว่า“ชีวิตย่อมเป็นไปตามกรรม” กรรมแปลว่าการกระทำ คนเรามีการกระทำที่สั่งสมมาตั้งแต่กำเนิดเป็นตัวกำหนดชีวิตของคนนั้น และการกระทำและผลของการกระทำเหล่านั้นจะเป็นตัวกำหนดเครือข่ายใยสมองของผู้นั้นด้วย ในลักษณะที่“การกระทำเปลี่ยนแปลงสมอง” เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก จะเกิดเป็นบุคลิก นิสัย หรือสันดาน นิสัยหรือสันดานส่วนที่อยู่ลึกมากเรียนว่าความเชื่อ(belief) ความเชื่อของคนเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของคน ความเชื่อเชิงคุณธรรมจริยธรรมที่สำคัญที่สุดคือความเชื่อว่าทำดีได้ดี หรือเชื่อในคุณงามความดี ความเชื่อเช่นนี้จะทำให้เป็นคนทำดี เกลียดกลัวความชั่ว
ไม่มีใครสอนใครได้ต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง
จริยศาสตร์และการคิดเชิงวิพากษ์เป็นสิ่งที่สอนไม่ได้หรือสอนไม่ได้ผล ต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง วิธีเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการปฏิบัติทดลองปฏิบัติแล้วหมั่นสังเกตผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ชีวิตของคนเรามีบทเรียนเรื่องจริยธรรมและการคิดเชิงวิพากษ์ตลอดชีวิต วิชานี้จึงเป็นวิชาที่ต้องเรียนตลอดชีวิต หรือมีบทเรียนให้เรียนรู้ไม่มีวันจบ
เครื่องช่วยการเรียนรู้คือตัวอย่างของจริง และทฤษฎีที่มีผู้สรุปสังเคราะห์ไว้ ในเรื่องจริยศาสตร์และการคิดเชิงวิพากษ์ต้องใช้หลายทฤษฎีประกอบกัน เหมือนกับการใช้ธรรมะต้องใช้หลายๆ ข้อประกอบกัน นอกจากนั้นยังต้องรู้จักเลือกใช้ทฤษฎีหรือหลักการให้เหมาะต่อกาละเทศะหรือบริบทอีกด้วย
เรียนจากการปฏิบัติสำคัญกว่าการเรียนจากทฤษฎี
ที่จริงทั้งทฤษฎีและปฏิบัติสำคัญทั้งคู่ และต้องใช้ประกอบกัน แต่ในปัจจุบันเราเน้นเรียนทฤษฎี จนละเลยการปฏิบัติ จึงต้องย้ำว่าปฏิบัติสำคัญกว่าทฤษฎี และช่วยให้เข้าใจทฤษฎีลึกซึ้งขึ้นด้วย ในทำนองเดียวกันทฤษฎีก็ช่วยให้การปฏิบัติไม่เปะปะ ไม่หลงทาง ที่ต้องย้ำคือเรื่องจริยธรรมและการคิดเชิงวิพากษ์นั้น เป็นทักษะ มากกว่าความเข้าใจเชิงทฤษฎี และคนที่มีความสามารถสูงจะต้องมีทักษะในระดับชำนาญ คือปฏิบัติได้โดยไม่ต้องคิดหรือตั้งหลักความคิดเสียก่อน เป็นทักษะสูงระดับอัตโนมัติซึ่งการศึกษาเชิงทฤษฎีจะไม่สามารถช่วยให้บรรลุได้ จะบรรลุได้โดยการฝึกฝนทักษะเท่านั้น
นั่นคือเวชจริยศาสตร์และการคิดเชิงวิพากษ์เป็นการเรียนเพื่อปฏิบัติในชีวิตประจำวันในฐานะแพทย์และในฐานะมนุษย์ที่มีจิตใจสูง ไม่ใช่แค่เรียนเพื่อรู้ หรือเพื่อให้ตอบข้อสอบได้
เวชจริยศาสตร์แนวฉือจี้
โรงเรียนแพทย์ของมูลนิธิฉือจี้ไต้หวัน มีวิธีสอนความเป็นคนดีที่น่าประทับใจมาก อ่านได้ที่http://gotoknow.org/file/vicharnpanich/view/20173
การคิดเชิงวิพากษ์(Critical Thinking)
ใช้หลักกาลามสูตรคือไม่เชื่อง่ายๆ ต้องไตร่ตรอง หาข้อมูล หรือทดลองเสียก่อน เมื่อเห็นจริงจึงเชื่อ
ต้องคิดแบบ “สวมหมวกหลายใบ”ในเวลาเดียวกัน ใช้หลัก The SixThinking Hats (คิดแบบหมวก 6 ใบ) ของEdward de Bono
สำคัญที่สุดวิพากษ์เพื่อสร้างความเชื่อของตนเอง เพื่อกำกับพฤติกรรมของตนเอง
ความสามารถในระดับสูงสามารถวิพากษ์ กระแสต่างๆ ในสังคมยุคข้อมูลข่าวสารระเบิด(informationexplosion) มีทั้งข่าวสารมายาและข่าวสารจริง ปนเปยุ่งเหยิง ให้เห็นส่วนที่เชื่อได้ ส่วนที่เชื่อไม่ได้ และส่วนที่ไม่ควรเอาใจใส่ ให้เข้าใจวาระซ่อนเร้น(hidden agenda)ของข้อมูลข่าวสารนั้น เป็นโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) ที่อยู่เบื้องหลัง เห็นความเป็นข้อมูลกึ่งจริงกึ่งเท็จ ที่มีอยู่ดาดดื่นในโฆษณาทั้งหลาย
หนังสือที่แนะนำให้อ่านคือ“การคิดเชิงวิพากษ์”และ “ผู้ชนะสิบคิด” โดย เกรียงศักดิ์เจริญวงศ์ศักดิ์
จริยศาสตร์กับการคิดเชิงวิพากษ์เพื่อพัฒนาตนเองเป็นนักคิดดีคิดชอบ
หลักสำคัญคือให้หมั่นสังเกตวัตรปฏิบัติของ“คนดี”ที่เป็น “นักคิด”และได้ทิ้งร่องรอยไว้ให้คนอื่นได้ศึกษา ซึ่งมีมากมายที่เสียชีวิตไปแล้วเช่น ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์, นายปรีดี พนมยงค์, มจ.สิทธิพร กฤดากร, นายสัญญา ธรรมศักดิ์, พุทธทาสภิกขุ,หลวงพ่อปัญญานันทะภิกขุ เป็นต้น ที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน เช่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน, ศ. นพ. ประเวศ วะสี, ศ.ระพี สาคริก, พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ ปยุตโต) รวมทั้งอาจารย์และชาวบ้านธรรมดาอีกมากมายที่เป็นคนดีมีคุณธรรมสูง
นักศึกษาควรมีฮีโร่ หรือต้นแบบในการเอาแบบอย่างในการพัฒนาตัวเองเป็นคนดี คิดดีคิดชอบ เป็นแพทย์ที่ดี เพื่อจะได้หมั่นสังเกต และหมั่นทดลองประพฤติปฏิบัติตัว เป็นการสร้างการดำเนินชีวิตตามแบบอย่างที่ดี
หลักสำคัญคืออย่าเพียงฝึกคิดจากสมอง แต่ให้ฝึกคิดจากร่างกายให้มากกว่า นั่นคือฝึกคิดจากการลงมือปฏิบัติและเห็นผลจากการปฏิบัตินั่นเอง คือคิดจากการได้สังเกตเห็นความเป็นจริงที่เป็นการปฏิบัติและผลจากการปฏิบัติ แล้วจึงนำไปไตร่ตรองหาเหตุผลและทำความเข้าใจทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความดี ความงามและความจริง
ให้เรียนจริยศาสตร์และการคิดเชิงวิพากษ์จากการทดลองปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในชีวิตประจำวัน
ความเป็นจริงที่เป็นการปฏิบัติและผลจากการปฏิบัติ ที่นำมาใช้เป็นปัจจัยฝึกคิด ก็คือชีวิตประจำวัน ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน อาจารย์และคนทั่วไป และต่อไปเมื่อได้เริ่มฝึกงานด้านวิชาชีพแพทย์ก็สังเกตจากการปฏิบัติงานเหล่านั้น หลังจากเป็นแพทย์ก็สังเกตจากการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อมีครอบครัวก็สังเกตจากชีวิตครอบครัว รวมทั้งสังเกตจากชีวิตตามปกติในสังคม แต่ช่วงที่เรียนจริยศาสตร์และการคิดเชิงวิพากษ์ได้เข้มข้นที่สุดคือช่วงที่เกิดวิกฤตในชีวิต ช่วงที่มีผลประโยชน์ที่มิชอบ หรือถูกกระทบในเชิงโลภะ โทสะ โมหะอย่างรุนแรง การเรียนรู้เชิงจริยธรรมและการคิดเชิงวิพากษ์เพื่อพัฒนาตนเองเป็นนักคิดดีคิดชอบปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต
จริยศาสตร์กับการคิดเชิงวิพากษ์เพื่อฝืนกระแสวัตถุนิยม เงินนิยม บริโภคนิยม
คนที่สามารถเอาชนะกระแสวัตถุนิยม เงินนิยมบริโภคนิยม ได้ จะเป็นผู้มีชีวิตที่มีความสุขแบบปลอดโปร่งโล่งเบาสบาย แต่จะสามารถทำเช่นนั้นได้ต้องการการฝึกฝนบารมีด้วยการปฏิบัติ เพื่อไม่ให้กระแสมอมเมาจากการโฆษณา และกระแสสังคมที่ยึดถือการสนองกิเลสตัณหา มาเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิต วิญญูชนพึงอยู่ในสังคมปัจจุบันที่อาบเคลือบด้วยยาพิษทางใจแต่ไม่โดนพิษร้ายนั้น เหมือนลิ้นงูอยู่ในปากงู แต่ไม่ถูกพิษจากเขี้ยวงู (คำสอนของท่านพุทธทาส)
หมายเหตุ
ไม่มีการสอนแบบบรรยายตามเอกสารนี้ แต่มีการเรียนรู้จากการดูภาพยนตร์เรื่อง“เสียงกู่จากครูใหญ่”แล้วแลกเปลี่ยนการตีความระหว่างนักศึกษาและอาจารย์ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สอนใจอะไรแก่เราบ้าง นักศึกษาจะได้เรียนรู้ว่าคนเราตีความเหตุการณ์ที่ตนพบเห็นแตกต่างกันมาก ได้เข้าใจความแตกต่างหลากหลายในการคิดของคน
จะมีการนำข่าวจากหนังสือพิมพ์มาตีความเชิงวิพากษ์เพื่อฝึกการคิดเชิงวิพากษ์ หรืออย่างมีวิจารณญาณไม่เชื่อง่าย
-------------------------------------------------------------------------------------------------
ไม่มีความเห็น