ยูคาลิปตัส เทวดาหรือปิศาจ?


ที่มา : http://www.en.mahidol.ac.th/forum/viewtopic.php?id=766

"ยูคาลิปตัส"ไม้เศรษฐกิจที่ผลิตทั้งน้ำมันและกระดาษอย่างที่เราคุ้นเคยเมื่อใดที่มีประเด็นรณรงค์ส่งเสริมให้ปลูกไม้ชนิดนี้ผุดขึ้นมาเมื่อใดย่อมมีเสียงคัดค้านถึงผลเสียที่โดดเด่นไม่แพ้ผลประโยชน์และล่าสุดกับแนวคิดของรมว.วิทยาศาสตร์คนใหม่ยกมาเป็นนโยบายสร้างความฮือฮาด้วยหวังจะผลิตไบโอออยล์จากยูคาแก้วิกฤติพร้อมกับข้อแย้งใหม่ว่าไม้ชนิดนี้หาได้เลวร้ายอย่างที่กังวลกันไม่"ยูคาลิปตัส" ครั้งนี้จึงถูกแปลงกายจาก "ไม้ปิศาจ" กลายเป็น "ไม้เทวดา" ขึ้นมาในทันใด !!
       
       “ยูคา”ถิ่นกำเนิดออสเตรเลีย เข้าไทยเมื่อ 50 ปีก่อน
       
       ยูคาลิปตัส (eucalyptus)เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดหลักอยู่ในประเทศออสเตรเลีย มีกว่า 700สายพันธุ์ กระจัดกระจายอยู่บ้างในรอยต่อแถบนิวกีนี อินโดนีเซียและหมู่เกาะฟิลิปปินส์ ได้มีการนำไปปลูกในภาคใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนียประเทศสหรัฐอเมริกา บราซิล เอธิโอเปีย อุรุกวัย มาดากัสการ์และในทวีปแอฟริกาแต่ความเหมาะสมของการปลูกยูคาก็ยังเป็นที่ถกเถียงและไม่ได้รับการยืนยันที่แน่ชัด
       
      ยูคาลิปตัสเป็นพืชที่ทนต่อความแห้งแล้งได้ดีและเจริญเติบโตได้ทุกสภาพดิน ตั้งแต่ดินทราย ดินเค็ม ดินเปรี้ยวแต่ไม่ทนดินที่มีหินปูนสูง โดยประเทศไทยนำเข้ายูคามาปลูกในปี 2493เป็นครั้งแรก แต่มีการปลูกอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2507 เป็นต้นมา
       
       ข้อมูลจากศูนย์ปฏิบัติการพืชเศรษฐกิจกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และจากกรมป่าไม้ ชี้ว่ายูคาลิปตัสที่ปลูกมากในไทยคือ "คามาลดูเลนซิส" (Eucalyptus camaldulensisDehnh.) ในวงศ์ไม้ชมพู่ (Myrtaceae) มีชื่อการค้าว่า "เรดกัม" (red gum)
       
       ยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซิสเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง-ใหญ่ มีความสูง 24-30 ม. และอาจสูงได้ถึง 50 ม.มีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 1-2 เมตรหรือมากกว่านั้นอีกทั้งเป็นไม้โตเร็วไม่ผลัดใบ เกษตรกรสามารถตัดใช้ได้ตั้งแต่อายุ 3-5ปี แตกหน่อใหม่ดีจึงไม่ต้องปลูกใหม่และด้วยความสามารถในเจริญเติบโตดีในแทบทุกพื้นที่จึงไม่แปลกที่มันจะเป็นที่นิยมปลูกมากที่สุด
       
       ถ้าปลูกในไทย ยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซิสจะมีรูปทรงสูงเพรียว ลำต้นเปล้าตรงมีกิ่งก้านน้อยมีเรือนยอดรูปทรงกรวยสูง ใบเดี่ยวเรียงเขียนสลับใบรูปหอกหรือรูปขอบขนานแกมหอกขนาด 2.5–12 x 0.3–0.8 นิ้ว ก้านใบยาวใบสีเขียวอ่อนทั้งสองด้าน บางครั้งมีสีเทา ใบบางห้อยลงเส้นใบมองเห็นได้ชัด ดอกมีสีขาว ออกช่อขนาดเล็กตลอดปีปีละ 7 -8 เดือนดอกจะออกตามง่ามใบใกล้ปลายกิ่ง แต่แม้จะมีเกสรเหมาะแก่การเลี้ยงผึ้งทว่าดอกของยูคากลับไม่มีกลิ่นอย่างที่หลายคนคิด
       
       ลักษณะเนื้อไม้ยูคา มีแก่นสีน้ำตาลกระพี้สีน้ำตาลอ่อน กระพี้และแก่นสีแตกต่างเห็นได้ชัดไม้ยูคาลิปตัสคามาลดูเลนซิสที่มีอายุมากขึ้นจะมีสีน้ำตาลแดงเข้มกว่าไม้อายุน้อยเนื้อไม้มีลักษณะค่อนข้างละเอียด เสี้ยนสน บางครั้งบิดไปตามแนวลำต้นเนื้อไม้มีความถ่วงจำเพาะอยู่ระหว่าง 0.6–0.9ในสภาพแห้งแล้งซึ่งขึ้นอยู่กับอายุของไม้เนื้อไม้แตกง่ายหลังจากตัดฟันตามแนวยาวขนานลำต้นแต่ถ้าทำให้ถูกหลักวิธีก็สามารถนำมาเลื่อยทำเครื่องเรือนและก่อสร้างได้
       
       ผลยูคามีลักษณะครึ่งวงกลม หรือรูปถ้วยมีขนาด 0.2–0.3 x 0.2–0.3 นิ้ว ผิวนอกแข็ง ให้ผลได้ตลอดปีเมื่อยังอ่อนจะมีสีเขียว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเมื่อแก่ที่ปลายผลจะแยกออกทำให้เมล็ดที่มีขนาดเล็กกว่า 1 มม.ร่วงออกมาโดยการขยายพันธุ์ยูคาทำได้โดยการเพาะเมล็ด ซึ่งเมล็ดยูคา 1กก.จะประกอบไปด้วยเมล็ดยูคาตั้งแต่ 100,000 -200,000 เมล็ด
       
       การเพาะเมล็ดยูคาลิปตัสควรทำในระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ เพราะสะดวกและได้ผลดีเนื่องจากหมดหน้าฝน และอากาศไม่ร้อนจนเกินไปการย้ายชำจะมีเปอร์เซ็นต์การรอดตายสูง เมื่อกล้างอกมีอายุ 18วันให้เลี้ยงไว้ในถุงชำอย่างน้อย 2 –3 เดือนลำต้นจะมีความสูงประมาณ 25ซม.ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งที่จะนำไปใช้ปลูกในเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม
       
       ประโยชน์มากมายของ“ไม้เทวดา”
       
       ทั้งนี้ประโยชน์ของไม้ยูคาลิปตัสถือเป็นจุดเย้ายวนใจของเหล่าเกษตรกรมากที่สุดเพราะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางตรงได้หลายอย่าง ได้แก่
       
       1.การทำไม้ใช้สอย เฟอร์นิเจอร์เครื่องเรือน ทำรั้ว ทำคอกปศุสัตว์ ทำเสาหรือใช้ในการก่อสร้างต่างๆ
       
       2.การทำฟืน เผาถ่านโดยถ่านไม้ยูคาลิปตัสใช้เป็นเชื้อเพลิงติดไฟได้ดีและมีขี้เถ้าน้อยไม้ฟืนยูคาให้พลังงานความร้อน 4,800 แคลอรีต่อกรัมส่วนถ่านไม้ยูคาให้พลังงานความร้อน 7,400 แคลอรีต่อกรัมจัดว่าให้ความร้อนใกล้เคียงกับถ่านไม้โกงกางซึ่งเป็นถ่านไม้ที่ดีที่สุด
       
       3.การทำชิ้นไม้สับไม้ยูคาลิปตัสเมื่อแปรรูปและสับทำชิ้นไม้สับสามารถนำไปผลิตแผ่นชิ้นไม้อัด แผ่นใยไม้อัด แผ่นปาร์ติเกิลและแผ่นไม้อัดซีเมนต์ที่มีมูลค่าสูง
       
       4.การทำเยื่อไม้ไม้ยูคาลิปตัสสามารถแปรรูปทำเยื่อไม้ยูคาที่ประกอบด้วยเซลลูโลสนำไปใช้ทำเส้นใยเรยอนและทำผ้าแทนเส้นใยฝ้าย และปุยนุ่น
       
       และ 5. การทำกระดาษ เยื่อไม้ยูคาลิปตัส 1ตันสามารถผลิตเยื่อกระดาษได้ประมาณ 1 ตันโดยเยื่อไม้ยูคามีคุณสมบัติเด่น คือ มีความฟูสูง และมีความทึบแสงประกอบกับไฟเบอร์มีความแข็งแรงเหมาะต่อการใช้ทำกระดาษพิมพ์เขียวประเภทต่างๆ
       
       นอกจากนั้นแล้วข้อมูลบางแหล่งยังชื่นชมไม้ยูคาในด้านการเพาะเลี้ยงเห็ดมากโดยระบบรากของไม้ยูคาลิปตัสจะมีเชื้อราไมคอร์ไรซาชนิดต่างๆ อาศัยอยู่เป็นตัวช่วยดูดธาตุฟอสฟอรัสให้กับต้นยูคาได้มากขึ้นช่วยให้ต้นไม้เจริญเติบโตดี และปรับปรุงดินเสื่อมให้มีคุณภาพดีขึ้นเช่น เห็ดเสม็ด เห็ดไข่ และเห็ดระโงกขาว
       
      อีกทั้งดอกยูคาลิปตัสมีน้ำหวานล่อแมลงมาผสมเกสรและดูดเอาน้ำหวานไปสร้างรวงผึ้งโดยเฉพาะการที่มันออกดอกปีละ 7 – 8 เดือนหรือเกือบตลอดปีผิดกับพันธุ์ไม้ชนิดอื่นๆ ที่มักออกดอก 1 – 2 เดือน/ปีจึงดีมากสำหรับการเลี้ยงผึ้ง น้ำผึ้งที่ได้มีรสและคุณภาพดีรวมทั้งน้ำมันใบยูคายังมีสรรพคุณทางยา โดยเฉพาะระบบทางเดินหายใจบรรเทาอาการหวัด คัดจมูก
       
       ที่สำคัญประโยชน์ใหม่ที่ถูกนำเสนอเป็นข้ออ้างสำหรับการส่งเสริมปลูกยูคาลิปตัสรอบใหม่ที่รัฐบาลกล่าวถึงคือเพื่อผลิตไบโอออยล์หรือเชื้อเพลิงเหลวที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงน้ำมันดีเซลซึ่งอ้างว่าอาจมีราคาถูกเพียง 15 บาท/ลิตร
       
       วิเคราะห์โทษมากมีของ“ไม้ปิศาจ”
       
       อย่างไรก็ตามแม้คุณประโยชน์ของยูคาจะมีมากอนันต์ทว่าข้อมูลจากการวิจัยหลายชิ้นและจากปากคำของเกษตรกรผู้มีประสบการณ์ปลูกยูคาต่างก็ชี้ว่าก็มีโทษมหันต์เช่นกัน
       
       ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบต่อระบบนิเวศที่สูงมากโดยเฉพาะต่อดิน น้ำ สัตว์ขนาดใหญ่และสัตว์ขนาดเล็ก เช่น มดแดงหรือแมลงต่างๆ จะถูกทำลายและไร้ที่อยู่อาศัยการปลูกยูคาจึงถูกกล่าวหาว่าเป็นพืชที่ทำลายธรรมชาติได้อย่างฉกาจฉกรรจ์ที่สุดตัวหนึ่งจนถูกเรียกว่าต้นไม้ปีศาจหรือบางรายเรียกว่าไม้ผีปอบ ดังที่มีคำพูดคุ้นหูกันว่า“ดินที่มีคุณภาพเลวที่สุดคือดินที่ปลูกยูคาแล้ว”
       
      ขณะเดียวกันยังพบผลกระทบที่เกิดต่อโครงสร้างของดินโดยเฉพาะดินในเขตภาคอีสานซึ่งเป็นดินปนทรายว่าเมื่อผ่านการปลูกป่ายูคาลิปตัสไปประมาณ 4-5 ปีดินบริเวณนั้นจะมีสภาพแห้งแล้งมากและเนื่องจากในบริเวณป่ายูคาลิปตัสจะไม่มีพืชต่างๆสามารถเกิดขึ้นแซมได้เลยเพราะยูคาจะปล่อยสารเคมีที่มีพิษออกมายับยั้งการเจริญเติบโตของพืชข้างเคียงดังนั้น เมื่อฝนตกลงมาจึงเกิดการชะล้างหน้าดินสูง
       
       นอกจากนั้น ยูคาลิปตัสยังเป็นพืชโตเร็วรากจึงดูดซับปุ๋ยและธาตุอาหารต่างๆ ได้ดีมากรากแผ่ขยายลงในดินได้ลึกมากถึง 15 ม. ยากแก่การกำจัดทำลายหลังการปลูกไม่น่าแปลกใจที่พืชชนิดอื่นไม่สามารถจะแย่งแร่ธาตุสู้มันได้
       
       อารีรัตน์ กิตติศิริชมรมศิษย์เก่าบูรณะชนบทและเพื่อน (RRAFA) ได้กล่าวถึงผลกระทบของการปลูกยูคาเป็นพืชเชิงเดี่ยวในประเทศไทยในรายงานของเธอโดยยกตัวอย่างที่น่าตื่นตกใจจากพื้นที่ปลูกยูคาของสวนป่าสมเด็จจ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเมื่อปี 2528 เคยมีพื้นที่ปลูกยูคาถึง 8,575ไร่ในเขตป่าสงวนแห่งชาตินาจารย์ -ดงขวางว่าครั้งหนึ่งพื้นที่ดังกล่าวเคยเป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก่อนสัตว์ป่าหลายชนิดอาศัยอยู่ที่นั่นจนกระทั่งบริษัทค้าไม้เข้ามายังพื้นที่ในปี 2500 -2510ต้นไม้ที่เคยมีอยู่ก็อันตรธานหายไปหมด
       
       จากนั้นเมื่อชาวบ้านเริ่มโยกย้ายเข้ามาทำกินในพื้นที่ดังกล่าวเพื่อใช้เป็นพื้นที่กสิกรรมตั้งแต่ปี2510 จนถึงปี 2517องค์กรอุตสาหกรรมป่าไม้ก็ได้เข้ามาชักชวนให้ชาวบ้านเข้าเป็นสมาชิกและแรงงานในเครือข่ายการปลูกป่ายูคาลิปตัสโดยสัญญาจะให้พื้นที่ทำกินฟรี 7 ไร่พร้อมออกเอกสารสิทธิ์อีกทั้งยังสัญญาว่าจะสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ถนน โรงเรียน ไฟฟ้าและศูนย์สุขภาพให้ ซึ่งใน 2ปีแรกพวกเขายังได้รับอนุญาตให้ปลูกข้าวโพดและมันสำปะหลังแซมระหว่างแถวต้นยูคาได้ทว่าหลังจากนั้นแล้วกลับไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใช้พื้นที่อีกเลย
       
       ที่สำคัญผลร้ายต่อระบบนิเวศที่หลงเหลือจากการปลูกยูคาก็สร้างความเดือดร้อนมากมายดินที่เคยอุดมสมบูรณ์กลับกลายเป็นดินที่มีเกลืออยู่มากสีของดินเปลี่ยนเป็นสีขาว ผลผลิตข้าวในพื้นที่ใกล้เคียงลดลงกว่า 10เท่า และแหล่งน้ำบาดาลที่เคยมีถึง 5บ่อกลับเหือดหายเหลือเพียงบ่อเดียวจนเกิดภาวะขาดแคลนน้ำในช่วงหน้าแล้งโดยน้ำบาดาลมีระดับลดลงถึง 10 -15 เมตร และหลังจาก 20ปีแรกของโครงการแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้รับสิทธิ์ใช้ที่ดินอีก
       
       ขณะที่ตัวอย่างอื่นๆนอกจากกรณีของป่าสมเด็จแล้ว ในรายงานของอารีรัตน์ยังยกตัวอย่างของบ้านน้อยตลาดเมือง อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ดและสวนป่าสังขะ อ.สังขะ จ.สุรินทร์ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ 2แห่งติดต่อกันคือป่าสงวนฝั่งขวาสำราญและป่าสงวนฝั่งขวาห้วยเสนว่าต่างก็ได้รับบทเรียนจากการปลูกยูคาไม่แตกต่างกัน
       
       ในปี 2528จึงถือเป็นปีหนึ่งที่เกษตรกรลุกฮือขึ้นต่อต้านการปลูกยูคาอย่างมากเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบในหลายพื้นที่รวมตัวต่อต้านและแม้กระทั่งบุกทำลายยูคาลิปตัสในสวนป่าหลายต่อหลายครั้งยกตัวอย่างชาวบ้าน ต.เสียว อ.อุทุมพิสัย จ.ศรีสะเกษที่บุกทำลายต้นยูคาและเรือนพยาบาลในป่าโนนลางในปีนั้น
       
       ปลุกผี“ยูคา” กลับมาเป็นเทวดาอีกครั้ง
      
       ทว่าเมื่อยูคาได้รับการปลุกกระแสอีกครั้งในปี พ.ศ.นี้ฝ่ายสนับสนุนยูคาได้ปฏิเสธข้อเสียของไม้ยูคาทั้งหมด โดยนายวุฒิพงศ์เจ้ากระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ในฐานะผู้จุดกระแสการสนับสนุน ชี้ว่าภาพผลกระทบร้ายแรงของยูคาในอดีตได้เลือนหายไปหมดแล้ว
       
      เพราะเมื่อมีการนำเข้ายูคามาปลูกเมื่อหลายสิบปีก่อนก็ได้มีการพัฒนาพันธุ์ยูคาลิปตัสจนปรับตัวได้อย่างกลมกลืนกับระบบนิเวศของไทยและลดผลเสียที่เคยมีต่อสิ่งแวดล้อมได้ทั้งหมดจนเป็นพันธุ์ใหม่ที่แตกต่างจากพันธุ์โบราณเมื่อ 20ปีก่อนอย่างสิ้นเชิง
       
       ข้อกล่าวหาต่างๆ ได้ถูกปฏิเสธทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นข้อกล่าวหาว่ายูคาใช้ธาตุอาหารในดินมาก เขาชี้ว่าแต่เปลือกของยูคาซึ่งกักเก็บธาตุอาหารไว้มากกว่าส่วนอื่นๆของต้นก็สามารถหมุนเวียนมาผลิตปุ๋ยหมักคุณภาพสูงหนำซ้ำปมรากของยูคายังดึงธาตุอาหารจากอากาศลงมายังพื้นดินเพิ่มความอุดมสมบูรณ์แก่พื้นดินได้อีกด้วย
       
       เขาย้ำด้วยว่าเขาจะส่งเสริมปลูกยูคาตามคันนาที่ไม่มีปัญหาขาดแคลนน้ำเท่านั้นเพราะยอมรับว่ายูคาเป็นพืชที่ใช้น้ำมากจริงแต่ปฏิเสธชัดเจนว่าการส่งเสริมปลูกยูคานี้จะไม่เป็นการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพราะเป็นการปลูกข้าวและยูคาอยู่ร่วมกัน โดยสิ่งมีชีวิตรอบไม้ยูคาทั้งมดแดง แมลง นกหรือแม้แต่ปูปลาในนาข้าวก็จะไม่ได้รับผลกระทบจากยูคาแต่อย่างใดและในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20ก.พ.ที่ผ่านมา นายสมัครสุนทรเวชนายกรัฐมนตรีก็ให้ความชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลของเขาจะสนับสนุนปลูกยูคาแน่นอน
       
       ส่วนยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซิสสายพันธุ์ใหม่ที่ รมว.วิทยาศาสตร์ฯ พูดถึง ดร.เริงชัย เผ่าสัจจ อดีตรองผอ.โครงการอนุรักษ์และจัดการแหล่งพันธุกรรมไม้ป่ากรมป่าไม้หนึ่งในผู้ผลักดันให้มีการปลูกยูคาลิปตัสให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า คือสายพันธุ์ที่เกิดจากการผสมเกสรของยูคาลิปตัสคามาลดูเลนซิส กับเกสรของยูคาลิปตัสสายพันธุ์อื่นๆเพื่อให้ได้คุณสมบัติโตไว ให้ผลผลิตสูงและต้านทานโรคและแมลงมากขึ้น
       
       “แต่การพัฒนาพันธุ์เหล่านี้ก็ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการปลูกยูคาพันธุ์เก่าๆอย่างที่ว่ากัน เพราะข้อเสียพวกนั้นมันไม่มีอยู่จริงตั้งแต่แรกแล้ว”ดร.เริงชัยย้ำ
       
      เขายังบอกอีกว่าในประเทศไทยมีการพัฒนาสายพันธ์ลูกผสมเหล่านี้มาอย่างเข้มข้นตั้งแต่ปี2512 เป็นต้นมา ปัจจุบันมีกว่า 10 สายพันธุ์ที่เป็นที่นิยมโดยการพัฒนาของภาคเอกชน 2 -3 รายที่มีทุนมากพอจะพัฒนาสายพันธุ์ได้เองรวมถึงบางส่วนที่พัฒนาพันธุ์โดยภาครัฐ เช่น สายพันธุ์ D1, D2, K7,K51, K58, S24, S32 และ T 5
       
       อย่างไรก็ตามแต่แม้ฝ่ายสนับสนุนซึ่งมีรัฐบาลเป็นแกนนำจะรับประกันว่ายูคาไม่มีผลเสียที่น่าวิตกกันแต่ความกังวลของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการปลูกยูคาตามที่ปรากฏในกระดานแสดงความคิดเห็นและตามสื่อต่างๆก็ยังคงยืนยันเช่นเคยว่ายูคามีผลเสียมากกว่าผลดีแน่นอนและผลร้ายของมันอาจรุนแรงถึงขั้นเปลี่ยนประเทศไทยไปเป็นทะเลทรายทีเดียว
       
      “สมัยเคยฝึกเป็นทหารแถวป่า อ.สนามไชยเขตฉะเชิงเทรา แถวนั้นเป็นป่ายูคาทั้งนั้น พูดแล้วเป็นเรื่องตลกร้ายเดินอยู่ในป่าทั้งวันเป็นสิบกิโลแต่ไม่เจอนกสักตัว เพราะว่าต้นยูคาไม่มีหนอน ทำให้ทั้งป่าไม่มีอาหารนกตามธรรมชาติ นกไม่หากินถือเป็นดินแดนต้องคำสาปของมันนกตัวไหนหลงเข้ามาเป็นอดตายถึงรู้ว่าป่ายูคาทำให้ธรรมชาติเสียไม่เฉพาะแต่ดินที่กลายเป็นดินทรายแต่สัตว์ที่อยู่ตามธรรมชาติก็สูญหายไปด้วย
       
       หนึ่งความคิดเห็นของผู้ใช้นามแฝงว่า“ทหารเก่า”แสดงความคิดเห็นบนโลกอินเทอร์เน็ตอย่างน่าคิด
       
      ข้อเสนอของพวกเขาที่ผุดขึ้นมาระหว่างยังไม่มีการลงมือปลูกนี้จึงเป็นการพิจารณาพืชโตเร็วตัวอื่นอย่างกระถินยักษ์กระถินเทพา และกระถินณรงค์ทดแทนยูคา
       
      อีกข้อเรียกร้องหนึ่งที่น่ารับฟังเป็นการที่ภาครัฐควรส่งเสริมให้เร่งศึกษาวิจัยผลดีและผลเสียของยูคาลิปตัสอย่างชัดเจนก่อนซึ่งคงไม่ทำให้สายเกินไปที่จะตัดสินใจไปได้ว่าเกษตรกรไทยในพ.ศ.นี้ควรจับจอบจับเสียมเตรียมปลูกยูคาตามคันนากันหรือไม่ ?
_________________________________________________

ที่มา: Manager Online

คำสำคัญ (Tags): #ยูคาลิปตัส
หมายเลขบันทึก: 185343เขียนเมื่อ 30 พฤษภาคม 2008 19:32 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 23:17 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

สวัสดีค่ะ คุณกวิน

เคยคิดจะปลูกยูคาเหมือนกันค่ะ

แต่ตอนนี้ไม่มีที่ไม่มีทุนแล้วละค่ะ

  • สวัสดีครับคุณพี่ มณีแดง คนสวย แซ่เฮ 
  •  ปลูกต้นสักดีกว่านะครับ ถ้ามีที่มีทุน แต่เวลาจะตัดอาจจะต้องขออนุญาตกรมป่าไม้

มารับความรู้เพิ่มเติมครับ

                      รพี

ขอบคุณครับ

ส่วนที่ "ทหารเก่า" ให้ข้อมูลไว้ น่าจะต้องคิดมาก ผลกระทบลูกโซ่ ของความสัมพันธ์กันทางธรรมชาติ

สวัสดีครัีบ

    อิๆๆ นี่ขนาดยูคาเดินเองไม่ได้นะครัีบเนี่ย... ยังข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากออสเตรเลียมาที่บ้านเราได้เลยครับ หากมันเดินได้ผมว่ามันคงเต็มประเทศไทยแล้วครัีบ จริงๆ ยูคาฯ ไม่ได้ผิดอะไรหรอกครับ มันอยู่ที่แนวคิดของคนจะปลูกยูคาฯ ต่างหากครัีบ ว่าจะปลูกเพื่ออะไร มีอะไรแฝงเบื้องหลัง หากจะปลูกเป็นพี่เลี้ยงให้พืชต้นอื่นสำหรับพื้นที่ที่ป่าเสื่อมแล้วแห้งแล้ง น่าจะช่วยได้เพื่อสร้างป่าใหม่อีกครั้งในระยะแรก แต่หากจะปลูกเพื่อขาย การค้าอย่างเดียว และเชิงเดี่ยว อันนี้น่าคิดครัีบ เรื่องเหล่านี้ผมไม่ค่อยเชื่อนักการเมียงเท่าไหร่ครัีบ เพราะไม่ใช่ผู้ปฏิบัติจริง แต่การให้ความหวังลมๆ แล้งๆ บางอย่างทำให้ส่วนหนึ่งหลงตาม ประกอบกับการล่อด้วยราคางามๆ ความร่ำรวยที่คิดข้ามฉากในละคร ทำให้ความฝันรวยลัดๆ เกิดขึ้นได้ง่ายๆ

    หากปลูกผสมเพื่อให้อยู่กับป่าไม้ชนิดอื่นๆ แล้วให้ธรรมชาิติคัดเลือกมันเอง ว่าคำตอบไหนผิดหรือถูก ต้นไหนตายไปก็ไม่ใช่คำตอบสำหรัีบพื้นที่นั้น โดยคนทำหน้าที่ให้เกิดความหลากหลายนำไปสู่คำตอบ แต่สังคมใดมุ่งหาเงิน ความร่ำรวยเงินทองวัตถุ ขาดความพอดีคนจะขัดแย้งกันแล้วในที่สุดต่อให้มีทรัพย์ในดินสินในน้ำ ก็ไ่ม่เหลือครับ เพราะคนที่ขัดผลประโยชน์กันก็ทำลายหมด ยูคาฯกินสารอาหารในดิน ฤาจะสู้คนกินบ้านกินเมือง เพราะคนกินบ้านกินเมืองเดินได้หนีได้ซ่อนตัวได้ แต่ยูคาฯ รออยู่ตรงนั้น อยากโค่นก็โค่น แต่หากรากข้าลึก 15 เมตร ใครจะฆ่าข้าก็ไม่ตายง่ายๆ ดอก หรือเจ้าจะขุดดินเอารากข้ามาเผารึ จะคุ้มรึ อิๆๆๆๆ

ขอบคุณมากครัีบ ที่นำมาให้กระุตุกสมองอีกรอบครัีบผม

สวัสดีครับ ท่าน กวิน

ไม่ยักทราบว่าท่านสนใจด้านนี้ด้วยครับ

ทางการไม่ว่านำเสนอเรื่องราวต่างๆขึ้นมา ไม่รู้ว่าใช้ฐานอะไรมาคิด มาคำนวน ทิศทาง  การเกษตรของบ้านเรา

ความคิดระบอบทุน ยังคงเป็นตัวชี้นำขับเคลื่อนทิศทางเกษตร นำทางไปสู่ความต้องการทางเศรษฐกิจ  ความเป็นจริงในชีวิตประชาคมโลกต้องการอย่างนั้นหรือ

ลองมาใคร่ครวญกันดูครับ

สวัสดีค่ะคุณกวิน

  • เห็นด้วยกับคุณเม้งและคุณสิทธิรักษ์อย่างยิ่งค่ะ
  • ยังยืนยันค่ะว่า...ต้นยูคาลิปตัส หรือ กัมทรี ที่มีต้นกำเนิดจากออสเตรเลียนั้น ถูกบิดเบือนประโยชน์ที่แท้จริงไปจาก ระบบทุนนิยม แม้ที่สวนป่าบ้านครูบาสุทธินันท์ท่านก็ยังปลูกต้นยูคาฯ จนนำไม้ยูคาฯที่ท่านปลูกเองมาปลูกบ้านให้คนที่ไปศึกษาดูงานได้พักผ่อนอย่างสบายใจสบายกาย
  • อยากชวนให้มาใคร่ครวญกันเช่นที่คุณสิทธิรักษ์ท่านกล่าวไว้ พืชพันธุ์ทุกชนิดต้องมีความหลากหลาย จึงจะเกื้อกูลและก่อประโยชน์อิงอาศัยกัน การปลูกพืชชนิดเดียวนาน ๆ ไม่ว่าพืชชนิดใดก็จะทำให้ดินและระบบนิเวศน์เสียหายอยู่แล้ว
  • คำถามก็คือ...ถ้าการปลูกพืชเชิงเดี่ยวทุกชนิดย่อมส่งผลร้ายต่อระบบนิเวศน์แล้ว เพราะอะไรผู้มีหน้าที่และอำนาจจึงยังคงส่งเสริมให้ปลูกพืชเชิงเดี่ยวอยู่อีก...อดจะคิดไม่ได้ว่าหรือเพราะมี...ผลประโยชน์มหาศาลแอบแฝงอยู่...
  • ตัวอย่างที่เห็นมานานแล้วคือ การส่งเสริมให้ปลูกยางพาราในภาคใต้ และในที่สุดพี่น้องชาวใต้ก็ได้ปรับตัวเนื่องจากรู้แล้วว่า...ไม่ควรปลูกยางเพียงอย่างเดียว แต่ต้องปลูกพืชอื่น ๆ สร้างความหลากหลายทางชีวภาพ กลายเป็น สวนสมรม หรือ สวนสุมรุม
  • ประชาชนไม่ได้ไม่รู้นะคะ  แต่อาจจะมีบางส่วนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์...เลยยอมให้คนได้ผลประโยชน์...หลอกอยู่ได้...!!!!

  • เลยนำภาพ Gum Tree จาก Perth , Australia มาฝากอีกทีคะ...เขาปลูกไว้ข้างถนน เพื่อดูดซับอากาศพิษ ไม่ได้ปลูกเป็นดง จนทำลายดินค่ะ
  • สวัสดีครับคุณ รพี กวีข้างถนน ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะครับ
  • สวัสดีคับท่านอาจารย์ พันคำ  ความ สมดุลในระบบนิเวศ  หากเกิดการเปลี่ยนแปลงก็จะส่งผลเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่อย่างที่อาจารย์กล่าวมาครับ
  • สวัสดีครับท่านพี่ เม้ง สมพร ช่วยอารีย์ อุทิศเวลาเขียนคอมเม้นท์ยาวดีจัง ผมเห็นกับพี่ครับ ต้นไม้ไม่ผิด แต่คนเอามาปลูกอาจจะมองเห็นแต่ประโยชน์บางอย่างจนมองข้ามผลเสียหลายๆอย่าง
  • สวัสดีครับคุณ สิทธิรักษ์   เดี่ยวฝากข่าวไปถึงลุงหมีหน้าหัก ให้นะครับ (จำสำนวนมาจากคุณ อ๋อ )
  • สวัสดีครับท่าน ผอ. นายประจักษ์ ขอบคุณครับ แฮ่ะๆ มาเล็งไม่ตายนะครับ มายิง ถึงจะตาย...ค้าบ
  • . คนไม่มีราก ใน วิกฤติ ก็ก่อให้เกิดโอกาสในการวิวัฒน์ นะครับ
  • แวะเวียนมาเยี่ยมค่ะ
  • ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ นะคะ
  • จะติดตามอ่านค่ะ

ยูคา ยูคา จำหน่ายกล้าพันธุ์ไม้ยูคาสายพันธุ์ดี จากทีมงานเพาะพันธุ์กล้าไม้มืออาชีพที่มีประสพการณ์สูง

ราคาไม่แพง จำหน่ายทั้งปลีกและส่งทั่วประเทศ ผลงานเป็นที่ประจักษ์ทั่วประเทศกว่ายี่สิบปี

สนใจติดต่อคุณไก่ 095-4654546 ,0946465654

ID line kai54654546

Email [email protected]

ชมผลงานและคุณภาพกล้าพันธุ์ไม้ได้ที่ www.takuyak.com

หรือที่แฟนเพจ คุณไก่กล้าพันธุ์ไม้

หรือชมคลิปที่ www.youtube.com ช่อง ชัยชนะ เสือเพ็ง

หรือที่แฟนเพจ ชมรมเกษตรกรผู้ปลูกไม้พะยูงแห่งประเทศไทย

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท