ฉือจี้ โรงพยาบาลแห่งเมตตาธรรม ตอนห้า


โรงพยาบาลแห่งเมตตาธรรม

สิ่งหนึ่งที่พวกเราชาว ม.อ. ที่ไปดูงานมูลนิธิพุทธฉือจี้ เริ่มเกิดความคุ้นเคยก็คือ อัธยาศัยการต้อนรับที่อบอุ่นของเจ้าบ้านของเราและของ guides ของอาสาสมัครทุกๆคนที่มาต้อนรับ เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งที่คนเราสามารถระบาดความรู้สึกดีๆให้กัน เพียงแค่เราแสดงความชื่นชมดีใจที่ได้พบปะเจอะเจอ เราก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า เออ..นะ ตัวเราเป็นที่ยินดีต้อนรับของที่นี่ ความวิตกกังวลหวาดกลัวก็มลายหายสูญไป สำหรับสถานที่อย่างโรงพยาบาลแล้ว บรรยากาศที่ปลอดภัย อบอุ่นเช่นนี้เอื้ออำนวยคุณานุประโยชน์อย่างยิ่งยวด

ตอนยืนอยู่กลางห้องโถงโรงพยาบาล ก็แหงนหน้าขึ้นไปมองเพดาน เห็นแวบๆเป็นแกะสลักภาพนูนต่ำ ก็นึกในใจ อืม... ออกตะวันตกแฮะ พอมองดูดีๆ เทวดา นางฟ้า ที่บินรายล้อมก้อนเมฆนั้น ทำไมใส่เสื้อ กางเกง กระโปรงหว่า

ปรากฏว่า "นางฟ้า เทวดา" ที่เหาะไปมานั้น กลายเป็นภาพของหมอ ของพยาบาลนี่นา.... อาสาสมัครของฉือจี้ที่ดูแลเรา เห็นผมมองเพดานอย่างสนอกสนใจ ก็เลยขยายให้ฟังว่า ท่านธรรมาจารย์เจิ้นเหลียนนั้น มีความเคารพชื่นชมคนที่เป็นหมอ เป็นพยาบาลมาก ท่านจะพูดเสมอว่าคนเราควรจะหมั่นทำบุญ ทำกุศล หาโอกาสทำความดี และยกตัวอย่างเสมอว่าคนที่ทำบุญมามากๆนั้น สุดท้าย ก็ไม่ต้องออกไปไหน บุญก็เดินทางมาให้ทำถึงที่ เช่น หมอ พยาบาล งานที่ทำทุกวัน เป็นบุญกุศลมหาศาล ทำความดีได้จากงานประจำ หาที่ไหนไม่ได้แล้ว

ผมนึกถึงนักเรียนแพทย์ของเราที่ประเทศไทยขึ้นมาทันที นึกถึงที่มีอาจารย์ท่านหนึ่งเคยทดสอบถามทีเล่น ทีจริง ที่ OPD (แผนกผู้ป่วยนอก) ขณะที่นักเรียนแพทย์ออกตรวจกับอาจาย์ ว่าหากมีโอกาสใหม่ จะสอบเข้ามาเรียนแพทย์อีกไหม ปรากฏว่า 80% บอกว่าไม่เอาแล้ว งานหนักเหลือเกิน ถูกตำหนิ ถูกด่า รู้สึกว่าโง่ ตลอดเวลา ฯลฯ ถ้ามีโอกาสจะขอไปเรียนอย่างอื่น ไปทำอย่างอื่นดีกว่า

แพทย์ใช้ทุนรุ่นหนึ่ง เคยถูกทางโรงพยาบาลขอให้มาอยู่เวรที่ห้องฉุกเฉินเพ่ิมเติม (คนละ 1 ครั้งต่อเดือน) เพราะหมอประจำ ER ขาดแคลน ปรากฏว่าแทบจะเป็นเรีื่องใหญ่โต ประท้วงกัน เขียนกระดานข่าวด่ากัน บอกว่าเป็นงานที่หนักขึ้น ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเขา เขามาเรียนต่างหาก ไม่ได้มาทำงานให้ รพ. (ซึ่งเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิง แพทย์ใช้ทุนนั้นมาทำงาน แต่ได้เรียนและได้สอบเป็นสิทธิพิเศษเพิ่มเติม) ฯลฯ

ก็รู้สึกว่า งานของเราน่าจะท้าทายกว่าของที่ไต้หวันนี่เยอะทีเดียว


คุณเมตตาและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเดินนำแถวของเรา\ไปยังห้องรับรองด้านใน แถวเรียงสองของเราก็เคลื่อนที่ไปอย่างสวยงามเหมือนแถวเด็กนักเรียนเล็กๆอนุบาลเดินไปกินข้าว แต่กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกผิดแผกแปลกพิสดารอะไรเลย ตรงกันข้าม ในโรงพยาบาลฉือจี้แห่งนี้ อะไรที่เป็นการสำรวม สงบนิ่ง สุภาพ กลับจะกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมที่นี่ รพ.นี้มีจุดร่มรื่นหลายแห่ง มีลานเปียโน มีโถงสงบที่มี altar คล้ายๆ Chapel แต่มีรูปพระโพธิสัตว์ตรงกลางแทน

 

ห้องโถงกึ่งๆ Chapel ของ รพ.พุทธฉือจี้ ไทเป มีเก้าอี้นั่งสำหรับคุกเข่าสวดมนต์เป็นแถว

สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเอกลักษณ์ และเป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของทุกสิ่งทุกอย่างของชาวฉือจี้น่าจะเป็นเรื่อง "จิตอาสา" แสดงออกมาโดยงานที่ประสบความสำเร็จ และกระทำโดยอาสาสมัครจำนวนมากมาย (ถึง 10 ล้านคนทั่วโลก)

อาสาสมัครเราจะเห็นเป็นส่วนหนึ่งของทุกๆที่ที่มีอะไรเกิดขึ้นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นคนเข็นเปล เข็นรถให้คนไข้ พูดคุยกับคนไข้ มีคนมาเล่นเปียโนที่ลาน รพ. 2-3เพลง แล้วก็กลับไปทำงานต่อ เราจะเห็นคนที่ทำงาน "เพื่อคนอื่น" ได้ตลอดเวลาที่เราอยู่ที่ไต้หวัน และคนเหล่านี้ "ช่างดูมีความสุข" เสียนี่กระไร

ฉือจี้มีเครื่องแบบสวยงามหลายรูปแบบ ทั้งตามบริบท และตามตำแหน่งหน้าที่ มีเครื่องหมายเล็กๆน้อยๆ ที่ชาวอาสาสมัครฉือจี้ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเลย เขามีความภาคภูมิใจกับชุด กับเครื่องแบบอันเรียบง่าย สุภาพ ไม่ฉูดฉาด แต่ไปที่ไหนคนก็ทราบว่านี่แหละเป็นส่วนหนึ่งของชาว Blue Angel เทวดาในชุดสีน้ำเงิน ที่จะไปปรากฏตัวในที่ที่มีความทุกข์ ความเดือดร้อน ทรมาน ทุกๆที่

พวกเรามานั่งที่ห้องประชุมต้อนรับของโรงพยาบาล เป็นห้องกว้างขวาง มีโต๊ะเตี้ยๆรายล้อมหมู่เก้าอี้เล็กๆ บนโต๊ะมีชุดขนมน้ำชาวางไว้อย่างสวยงาม ชาวฉือจี้รู้จักการแสดงออกถึงการยินดีต้อนรับเป็นอย่างดี ด้วยขนมทำเองง่ายๆ แต่จัดเรียงอย่างสวยงามด้วยมือ แสดงถึงความตั้งใจจริงของผู้จัด ซึ่งสามารถสัมผัสได้โดยไม่ต้องใช้ fancy expensive set แต่อย่างใด ตามห้อง ระเบียง จะตกแต่งด้วยหมู่กอไผ่เขียวขจี ดุเหมือนต้นไผ่จะเป็นอะไรที่ชาวฉือจี้ชื่นชมมาก ในความตรง มั่นคง เที่ยงตรง เรียบง่ายสวยงาม ซื่อสัตว์ และสมถะไม่ฟุ้งเฟ้อ เราจะเห็นต้นไผ่ กอไผ่ เป็นส่วนประกอบของการตกแต่งภายในภายนอกของอาคารฉือจี้ทุกๆที่เสมอทีเดียว

คุณสิชล อาสาสมัครที่ดูแลเรา (ซ้ายสุด) และสามหนุ่มอาสาสมัครโรงพยาบาลฉือจี้ ไทเป

ณ โรงพยาบาลฉือจี้ ไทเปนี้ ทุกๆวันจะมีอาสาสมัครกว่า 200 คน มาช่วยงานโรงพยาบาล ทำทุกอย่างภายในขอบเขตที่เขาได้รับอนุญาตให่้ทำ แพทย์อีกประมาณ 200 คน และพยาบาลอีก 500-600 คน อาสาสมัครจึงเป็นสัดส่วนแรงงานที่สำคัญมากทีเดียวสำหรับกิจกรรมทั้งหมด

ไม่เพียงแต่การดูแลคนไข้และญาติเท่านั้น ที่ รพ.พุทธฉือจี้นี้ staff ทุกคน แพทย์ พยาบาล จะมีอาสาสมัครที่มาดูแลโดยเฉพาะด้วย วันเสาร์ อาทิตย์ ณ ห้องผ่อนคลาย ก็จะมีอาสาสมัครมาช่วยเสริฟนำ้ชา กาแฟ ขนมเล็กๆน้อยๆแก่ staff ที่มาทำงาน หรือมาผ่อนคลายที่นี่ เกิดเป็นความผูกพัน และเป็นความเยียวยาเสริมกำลังแก่ staff ได้เป็นอย่างดี ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่นี้ มีรากฐานมาจาก "การให้ ความรัก และความเมตตา" ซึ่งเป็นรากฐานชนิดที่ดีที่สุดเท่าที่เราสามารถจะหวังได้สำหรับสังคมไหนๆก็ตาม สำหรับคนที่ "คุ้นชิน" กับการให้การบริการ การสร้างสรรค์ความสัมพันธ์ที่งดงามดูจะไม่ใช่เรีื่องยาก เรื่องใหญ่อะไรอีกต่อไป เปรียบเสมือนดินอันอุดมด้วยปุ๋ย ด้วยอากาศ ด้่วยอาหาร เมล็ดอะไรที่โปรยมาในผืนแผ่นดินนี้ก็จะงอกงาม เติบโตอย่างแข็งแรงไปได้เสมอ

สุดท้าย แอบไปเห็นบทความ quotable quote จาก blog นพ.วรวุฒิ ผอ.สันทราย เกี่ยวกับระบบ "คุณภาพ" คิดว่าน่าสนใจ เอามาแปะไว้ให้อ่านเล่นครับผม อิ อิ อิ

Demming เขียนคำนำให้หนังสือเล่มใหม่ของ Peter Senge

"Our prevailing system of management has destroyed our people,People are born with intrinsic motivation,self-respect,dignity, curiosity to learn,joy in learning.The forces of destruction begin with toddlers–a prize for the best Halloween costume,grades in school,gold stars–and on up through university. On the job,people,teams, and divisions are ranked, reward for the top, punishment for the bottom. Management by objectives, Quotas, incentive pay, business plans, put together separately, division by division, cause further loss, unknown and unknowable"

The Fifth Discipline: The Art & Practice of The Learning Organization by Peter M. Senge

หมายเลขบันทึก: 182714เขียนเมื่อ 16 พฤษภาคม 2008 14:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 10:34 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ผมไปโรงพยาบาลแห่งในกรุงเทพฯกลับมาเมื่อสองอาทิตย์ก่อน

ผมสงสารคนไข้ที่นอนบนเตียง ที่ถูกเข็นมาจอดไว้ ด้านนอกระเบียงทางเดินครับ เจ็บก็เจ็บแถมต้องมานอนอายอีก เมื่อไหร่ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราจะเห็นความสำคัญในเรื่องสุขภาพกาย- สุขภาพจิต และทำให้เป็นรูปเป็นร่างซักทีนะครับ และที่สำคัญที่สุดคือ

อยากให้เป็นโรงพยาบาลแห่งเมตตาธรรมเหมือนของเค้าบ้าง

                           รพี กวีขี้อิจฉา(อิจฉาเพื่อชาติ)

มัทได้สัมผัสกับอาสาสมัครของ ฉือจี้ ที่บ้านพักผู้สูงอายุที่นี่แล้วก็ประทับใจค่ะ

เป็นมูลนิธิที่มีเงินมาก จำนวนคนมาก แล้วก็ "ใจ" มากจริงๆค่ะ

เหลืออีกนิดเดียวก็คือหยิบยืมความประทับใจ ความอยากให้เกิด เอาไปเป็นพลังงานกลขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรม ช่วยกันคนละไม้ละมือ อีกหน่อยเราก็มี "ฉือจี้" ฉบับของเราเองจนได้นะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท