ฝ่ากำแพงมายาคติ….ด้วยพลังใจที่เข้มแข็ง


พวกเขาเหล่านั้นยังต้องการพลังใจ และความเข้าใจในสังคม หากสังคมช่วยกันทำลายมายาคติความเชื่อเดิมๆ ใน ไม่นำความเชื่อเหล่านั้นมาทำลายผู้ประสบปัญหา ความเจ็บปวด ความเหงาและความทรมานใจก็จะหายไป

การดำเนินชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย  แต่ก็มิใช่เรื่องยากที่จะฝ่าฟันอุปสรรคเพื่อให้ผ่านพ้นไป  เพียงแต่เมื่อยามใดหากมีก้อนหินแห่งทุกข์ก้อนใหญ่ขวางทางก็ต้องใช้พลังใจในการที่จะก้าวข้ามสิ่งเหล่านั้นไปให้ได้  เหมือนกับเธอสองคนนี้

 

นัน  เคยถูกพี่เขยของตัวเองข่มขืนเมื่อคราวที่เธอมีอายุเพียง 10 ขวบ  ด้วยวัยเพียงเท่านี้บวกกับความเป็นเด็กหญิงในโลกของศาสนาอิสลาม เธอถูกสอนไม่ให้พูดเรื่องเพศ  และไม่อยากทำให้พี่สาวเสียใจเธอจึงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับกับครอบครัวของเธอตลอด 19 ปี

 

แจน  ครั้งหนึ่งเคยถูกกระทำโดยพี่ชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอตอนอายุได้ 9 ขวบ เธอถูกพี่ชายกระทำซ้ำหลายครั้งในช่วงเวลา 1 ปี   เขาพยายามหาโอกาสที่จะได้อยู่กับแจนสองคน  ครั้งหนึ่งเธอโดนจบพาดตัวอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ แม้จะเจ็บปวดเธอก็ต้องทน

 

แม้ทั้งสองคนจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ถูกกระทำอยู่นั้นคือการ ข่มขืน แต่เธอก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี  ไม่ควรเกิดขึ้น  เธอจึงเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเรื่อยมมา  เมื่อความจริงถูกปิดเด็กหญิงทั้งสองจึงต้องยอมเปิดรับความเจ็บปวด ความเหงา และความทรมานใจ ด้วยตัวเองเพียงลำพัง

 

นอกความเจ็บปวด  ความเหงา  ความทรมานใจ  แล้วศัตรูตัวฉกาจของการต่อสู้ของผู้ที่ประสบเรื่องเหล่านี้ชีวิตที่ต้องต่อสู้ไม่ต่างกับแจนและนัน คือ  มายาคติเดิมๆที่ถูกสั่งสอนมานาน   เป็นผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัวนะ พรหมจรรย์เป็นสิ่งสำคัญของผู้หญิงต้องรักษาเพื่อผู้ชายที่เรารัก

 

มายาคติเหล่านี้เป็นสิ่งที่ลดทอนกำลังใจในการใช้ชีวิตของเขา  ความเชื่อเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่แยกพวกเธอออกจากสังคม  โดยทำให้รู้สึกว่าเธอกำลังถูกลงโทษจากสังคมเพราะเธอทำเรื่องไม่ดี  จึงทำให้เกิดคำถามที่วนเวียนอยู่ในใจซึ่งไม่มีใครสักคนที่ตอบเธอได้คือ ฉันเรียกว่าไม่รักนวลสงวนตัวหรือ  ฉันยังบริสุทธิ์อยู่หรือเปล่า  ฉันยังเป็นผู้หญิงที่มีคุณค่าพอที่จะรักได้ไหม  และฉัน......อีกต่างๆมากมาย

 

แล้ววันหนึ่งคำถามที่วนเวียนมาหลอกหลอนเธอทั้งสองคนก็ถูกทำลายด้วยการตอบคำถามตัวเองได้ว่าคุณค่าของตัวเธออยู่ที่การให้คุณค่าโดยตัวเธอเอง  สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเหตุการณ์ที่เกิดกับใครก็ได้มิใช่เธอเพียงคนเดียว  พรหมจรรย์ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต  การมีชีวิตอยู่เพื่อสร้างประโยชน์ต่างหากคือคุณค่าของเรา แต่การก้าวมาถึงวันที่เธอยอมรับตัวเธอเองมันใช้พลังอันมหาศาลที่จะยกภูเขาก้อนใหญ่ที่ทับเธอโยนมันทิ้งไป

 

พลังใจเหล่านี้เกิดจากการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เข้าใจเมื่อเธอยอมเปิดเผยเรื่องราว  ทั้งสองคนแม้จะอยู่กันต่างที่แต่สิ่งที่ได้รับไม่แตกต่างกันคือ  เธอได้รับรู้สิ่งใหม่ๆว่า  การที่ใครคนหนึ่งเจอเรื่องราวแบบนี้ไม่ได้เกิดจากความผิดของตัวของเธอ    

 

ปัจจุบันยังมีคนอีกมากมายที่เจอเหตุการณ์เหล่านี้เหมือนกรณีหญิงสาวทั้ง 2 คน  พวกเขาเหล่านั้นยังต้องการพลังใจ และความเข้าใจในสังคม  หากสังคมช่วยกันทำลายมายาคติความเชื่อเดิมๆ ใน  ไม่นำความเชื่อเหล่านั้นมาทำลายผู้ประสบปัญหา  ความเจ็บปวด  ความเหงาและความทรมานใจก็จะหายไป

 

 

 

           

หมายเลขบันทึก: 182544เขียนเมื่อ 15 พฤษภาคม 2008 23:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 13:49 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท