การดำเนินชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็มิใช่เรื่องยากที่จะฝ่าฟันอุปสรรคเพื่อให้ผ่านพ้นไป เพียงแต่เมื่อยามใดหากมีก้อนหินแห่งทุกข์ก้อนใหญ่ขวางทางก็ต้องใช้พลังใจในการที่จะก้าวข้ามสิ่งเหล่านั้นไปให้ได้ เหมือนกับเธอสองคนนี้
“นัน เคยถูกพี่เขยของตัวเองข่มขืนเมื่อคราวที่เธอมีอายุเพียง 10 ขวบ ด้วยวัยเพียงเท่านี้บวกกับความเป็นเด็กหญิงในโลกของศาสนาอิสลาม เธอถูกสอนไม่ให้พูดเรื่องเพศ และไม่อยากทำให้พี่สาวเสียใจเธอจึงต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับกับครอบครัวของเธอตลอด 19 ปี”
“แจน ครั้งหนึ่งเคยถูกกระทำโดยพี่ชายซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอตอนอายุได้ 9 ขวบ เธอถูกพี่ชายกระทำซ้ำหลายครั้งในช่วงเวลา 1 ปี เขาพยายามหาโอกาสที่จะได้อยู่กับแจนสองคน ครั้งหนึ่งเธอโดนจบพาดตัวอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ แม้จะเจ็บปวดเธอก็ต้องทน”
แม้ทั้งสองคนจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ถูกกระทำอยู่นั้นคือการ “ข่มขืน” แต่เธอก็รู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ควรเกิดขึ้น เธอจึงเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับเรื่อยมมา เมื่อความจริงถูกปิดเด็กหญิงทั้งสองจึงต้องยอมเปิดรับความเจ็บปวด ความเหงา และความทรมานใจ ด้วยตัวเองเพียงลำพัง
นอกความเจ็บปวด ความเหงา ความทรมานใจ แล้วศัตรูตัวฉกาจของการต่อสู้ของผู้ที่ประสบเรื่องเหล่านี้ชีวิตที่ต้องต่อสู้ไม่ต่างกับแจนและนัน คือ มายาคติเดิมๆที่ถูกสั่งสอนมานาน “เป็นผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัวนะ” “พรหมจรรย์เป็นสิ่งสำคัญของผู้หญิงต้องรักษาเพื่อผู้ชายที่เรารัก”
มายาคติเหล่านี้เป็นสิ่งที่ลดทอนกำลังใจในการใช้ชีวิตของเขา ความเชื่อเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่แยกพวกเธอออกจากสังคม โดยทำให้รู้สึกว่าเธอกำลังถูกลงโทษจากสังคมเพราะเธอทำเรื่องไม่ดี จึงทำให้เกิดคำถามที่วนเวียนอยู่ในใจซึ่งไม่มีใครสักคนที่ตอบเธอได้คือ ฉันเรียกว่าไม่รักนวลสงวนตัวหรือ ฉันยังบริสุทธิ์อยู่หรือเปล่า ฉันยังเป็นผู้หญิงที่มีคุณค่าพอที่จะรักได้ไหม และฉัน......อีกต่างๆมากมาย
แล้ววันหนึ่งคำถามที่วนเวียนมาหลอกหลอนเธอทั้งสองคนก็ถูกทำลายด้วยการตอบคำถามตัวเองได้ว่าคุณค่าของตัวเธออยู่ที่การให้คุณค่าโดยตัวเธอเอง สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเหตุการณ์ที่เกิดกับใครก็ได้มิใช่เธอเพียงคนเดียว พรหมจรรย์ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต การมีชีวิตอยู่เพื่อสร้างประโยชน์ต่างหากคือคุณค่าของเรา แต่การก้าวมาถึงวันที่เธอยอมรับตัวเธอเองมันใช้พลังอันมหาศาลที่จะยกภูเขาก้อนใหญ่ที่ทับเธอโยนมันทิ้งไป
พลังใจเหล่านี้เกิดจากการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เข้าใจเมื่อเธอยอมเปิดเผยเรื่องราว ทั้งสองคนแม้จะอยู่กันต่างที่แต่สิ่งที่ได้รับไม่แตกต่างกันคือ เธอได้รับรู้สิ่งใหม่ๆว่า การที่ใครคนหนึ่งเจอเรื่องราวแบบนี้ไม่ได้เกิดจากความผิดของตัวของเธอ
ปัจจุบันยังมีคนอีกมากมายที่เจอเหตุการณ์เหล่านี้เหมือนกรณีหญิงสาวทั้ง 2 คน พวกเขาเหล่านั้นยังต้องการพลังใจ และความเข้าใจในสังคม หากสังคมช่วยกันทำลายมายาคติความเชื่อเดิมๆ ใน ไม่นำความเชื่อเหล่านั้นมาทำลายผู้ประสบปัญหา ความเจ็บปวด ความเหงาและความทรมานใจก็จะหายไป
ไม่มีความเห็น