เพื่อนถามว่า: เลิกกับแฟนแต่ยังมีเหตุจำเป็นต้องเจอหน้าทุกวันทั้งคู่กรณีและแฟนใหม่ของเขา ทำไงดี พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้หนีปัญหาใช่ไหม ต้องสู้กับมันใช่หรือเปล่า ยังสงสัยตัวเองว่าจะอดทนได้รึเนี่ย อีกฝ่ายไม่ร้อนใจอะไรทั้งนั้น เราร้อนอยู่ฝ่ายเดียวใช่ไหมนี่ เฮ้อ กลุ้มคิดมากอ่ะ
---------------------------------------------------------------------
ตอบเมลเพื่อนไปว่า:
ใช่ ศาสนาพุทธไม่ให้หนีปัญหา แต่ก็ไม่ได้บอกให้ทนทายาทโดยไม่พิจารณาให้ถี่ถ้วน (พระพุทธเจ้าพบแล้วว่าทรมานตัวเองไปก็ไม่พ้นทุกข์)
ขอให้มีสุขมากๆ
มีวิธีฝึกจิต เชิญนะครับ
เลิกกับแฟนแต่ยังมีเหตุจำเป็นต้องเจอหน้าทุกวันทั้งคู่กรณีและแฟนใหม่ของเขา....
ถ้าเป็นตัวเองนะคะ เลิกกันแล้ว คือเลิกกันแล้ว แต่ยังเป็นเพื่อนกันได้ ถ้ายังมีความจำเป็น ต้องพบกัน ก็ได้ ไม่มีปัญหาค่ะ แต่คงไม่เป็นเพื่อนแบบ ชอบกันมากหรอก แค่รู้จักกัน ก็พอ...
คุณหมอมัทมีคำแนะนำที่ดีให้เพื่อนแล้ว
พี่เข้ามาเป็นกำลังใจให้เพื่อนคุณหมอมัทนะคะ
ไม่ต้องหนี และไม่ต้องทนค่ะ ^ ^ เจอกับไม่เจอไม่ต่างกัน
ขอบคุณทุกท่านมากๆค่ะ
ความคิดเห็นของทุกท่านน่าจะเป็นแรงช่วยอย่างดีให้คนที่ตกอยู่ในสภาวะปัญหานี้
ให้ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างมีสติ : )
เขาต้องต่อสู้กับความรู้สึกภายในของตนเอง และต่อสู้กับสิ่งที่ไม่คาดคิด...จากผู้อื่น.... ยากนะค่ะ ...แต่ก็ต้องทำ ...เพื่อเอาชนะตัวเองก่อนแล้วอย่างอื่น ก็จิบจ้อยแล้ว
สมมุติ ถ้าสร้างนี้แล้วถามต่อทุกๆท่านนะค่ะ ว่า .....ถ้าบังเอิญ เขาทั้งสองคน มีลูกเป็นพยานรักละค่ะ และยังต้องพบเจอ ทำงานร่วมกันตลอด..... จะทำอย่างไรค่ะ
ถ้าบังเอิญ เขาทั้งสองคน มีลูกเป็นพยานรักละค่ะ และยังต้องพบเจอ ทำงานร่วมกันตลอด..... จะทำอย่างไรค่ะ
คิดทางบวกนะคะ
ลูกจะมีพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่ที่รักเขา สองคู่
อย่างไรก็ตาม คงขึ้นอยู่กับคีย์แมน ตัวละครหลัก
และคนที่สำคัญสุด คือคนที่เป็นผู้ดูแลเด็ก ค่ะ
ยากค่ะ
ต้องคิดบวก คิดทะลุล่วง คิดแต่ประโยชน์และคิดให้ถึงแก่น ว่า ความรัก ที่เราวิ่งไขว่คว้า เพื่อตัวเรา ให้เขารักเรา หรือแผ่ออกไปเฉย ๆ ไม่มีเงื่อนไข
รักเพื่อรัก
รักเพื่อความสุขแบบที่ได้เกิดมาพบคนที่เรารัก คนที่ใช่เลย แม้เขาไม่ได้เป็นคนหรือ ของ ที่อยู่กับเราตลอดเวลา
รักเพื่อรัก
ดู ๆ ไม่มีเหตุผล แต่ มันเป็นอย่างนั้นได้จริง ต้องลอง คิด คิด และ ลองทำให้ได้
สวัสดีค่ะคุณครูเอและคุณphusupa
เรื่องนี้ต้องดูเหตุปัจจัยให้ทั่ว และมันยากตรงที่บุคคลต่างๆที่เกี่ยวข้องมีความต้องการไม่เหมือนกัน
นอกจากคนสองคนแล้วยังมีญาติมาเกี่ยวข้อง
นอกจากเราต้องรู้ว่าเราจะคิดอย่างไรแล้ว มันก็ไม่แน่ว่าไอ้ที่เราคิดเราเห็นเราอยากให้เป็นมันจะเป็นไปตามนั้นไหม
ทางแคนาดาทำวิจัยว่า เด็กที่ถูกเลี้ยงมาด้วยพ่อหรือแม่คนเดียว หรือ พ่อแม่หย่ากันแต่ช่วยกันเลี้ยงอย่างราบรื่น แบ่งเวลาและหน้าที่กันได้ลงตัว ไม่มีปัญหามากเท่าเด็กที่ถูกเลี้ยงมาในบ้านที่พ่อแม่ทะเลาะกันตลอดเวลา
แต่ทั้งนี้ก็เนื่องมากจากว่าที่นี่มีโครงสร้างทางสังคมที่รองรับทั้งคู่(เคย)ที่มีปัญหา และตัวเด็กเอง
"it is better to come from a broken home than a home that is broken"
อย่างไรก็ดีถ้าพ่อแม่ไม่รักกันแล้วแต่สามารถอยู่ด้วยกันได้ ไม่ทะเลาะรุนแรงให้ลูกเห็น แล้วค่อยเลิกกันตอนลูกโตพอ แบบนี้เค้าก็ว่าดีเหมือนกัน (เพราะมีงานวิจัยมากมายที่สรุปผลว่าเด็กเพศไหนอายุเท่าไรจะมีปัญหาเรื่องไหนถ้าพ่อแม่แยกกัน) แต่แบบนี้ต้องใช้สติและธรรมะมากๆที่จะสามารถทำให้สำเร็จได
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ พ่อแม่เลิกกันแล้ว ไม่พูดกันแต่ให้ลูกเป็นพนักงานส่งสาร แถมให้ลูกไปสืบว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไร แบบนี้ลูกเครียดค่ะ
ชอบที่คุณphusupaตอบค่ะ คิดแต่ประโยชน์และคิดให้ถึงแก่น
ว่าการกระทำเราจะมีผลอย่างไร ทำแล้วมีประโยชน์หรือไม่
มัทเพิ่งเขียนอนุทินไปว่า พระพุทธสอนว่าจะทำอะไรถ้าคิดว่าถูกหรือผิดมันตอบยาก แต่ให้เห็นว่าทำไปแล้วผลมันคืออะไรได้บ้าง มีประโยชน์หรือไม่
อย่างเวลามีคนมาถามท่าน ถ้าท่านเห็นว่าตอบไปก็ไม่มีประโยชน์ท่านจะตอบว่า "โอม"
อย่างที่ครูเอเขียนค่ะ ต้องเริ่มจาก เอาชนะตัวเองก่อน