วันที่ ๙ พ.ค. ๕๑ เป็นวันพืชมงคล และเป็นวันมงคลสมรสของเราเมื่อ ๓๙ ปีก่อนด้วย แถมปีนี้ตรงกับวันศุกร์ เหมือนกับวันที่ ๙ พ.ค. ๒๕๑๒ เราจึงชวนกันไปเที่ยวเขาใหญ่ เพื่อกินบรรยากาศธรรมชาติ
ผมระลึกถึงวันแต่งงานเมื่อ ๓๙ ปีก่อนว่าเราออกเดินทางจากกรุงเทพไปชุมพรในวันที่ ๗ พ.ค. ๒๕๑๒ ด้วยรถแลนด์โรเวอร์ของกรมทางหลวงฯ มีพี่ตุ๊ (นายช่างวีรวัช เศวตวรรณ) พี่ชายของว่าที่เจ้าสาวเป็นโชเฟอร์ พี่ตุ๊ตอนนั้นมีตำแหน่งเป็น โปรเจ็ค ของการสร้างทางสายใหม่ ซึ่งก็คือถนนพระราม ๒ ในปัจจุบัน รถแลนด์ฯ บรรทุกผู้โดยสารเต็มรถ ได้แก่ พี่นวย (พอ. อำนวย ศิริวัฒน์ ยศขณะนั้นและเกษียณอายุราชการในยศพลตรี) พี่จิตร พี่วินัย (นพ. วินัย เศวตวรรณ ขณะนั้นเป็นอาจารย์ภาควิชาสูติ-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ รพ. รามาธิบดี) พี่นิด (พญ. ถาวรวรรณ เศวตวรรณ ขณะนั้นเป็นแพทย์ รพ. ประสาทพญาไท) พี่เล็ก (ทัศนีย์ เศวตวรรณ ภรรยาโชเฟอร์) และพี่อี๊ด (ทญ. ยุพดี เศวตวรรณ) โดยมีว่าที่เจ้าสาวกับว่าที่เจ้าบ่าวนั่งที่นั่งท้ายรถ รวมเป็น ๙ คน
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก คน ๙ คนในรถคันนั้นเวลานี้ไปสวรรค์แล้ว ๓ คน คือพี่นวย พี่จิตร และพี่เล็ก สองคนย้ายไปอยู่สหรัฐอเมริกาเป็นการถาวร คือพี่วินัยกับพี่นิด เอาลูก ๔ คนไปตั้งรกรากที่นั่น และเวลานี้พี่อี๊ดก็ป่วยต้องเข้า รพ. รับการผ่าตัดและยังอยู่ในโรงพยาบาล เราจึงไม่สามารถชวนไปเที่ยวด้วยกันได้เหมือนตอนไปกินอาหารร้านชมชลครั้งที่แล้ว
ที่จริงผม AAR กับตัวเองยาวกว่านี้เยอะ ทบทวนว่าชีวิตสมรส ๓๙ ปี ช่วยและไม่ช่วยให้ผมทำอะไรบ้าง เอาไว้ได้โอกาสจะลอง AAR ไว้เป็นการเรียนรู้ ของตนเองและของสังคม
เราออกเดินทางจากบ้านปากเกร็ดกัน ๒ คน เวลา ๘.๓๐ น. ด้วยรถยนต์คันใหม่ โตโยต้า คัมรี ๒๐๐๐ ซีซี ที่อายุเพียงเดือนเศษ ขึ้นทางด่วนไปลงบางพูน เข้าถนน ๓๐๕ ไปทางนครนายก และเลี้ยวซ้ายเข้าถนน ๓๓ เมื่อถึงสี่แยกถนน ๓๑๙ ที่เข้าปราจีนบุรีเราขับตรงไป ยังไม่เลี้ยวเข้าปราจีน ไปเลี้ยวเข้าปราจีนบุรีตรงสี่แยกถนน ๓๒๐ เป้าหมายคือร้านชมชลที่เรามากินเมื่อ ๒ เดือนก่อน และติดใจกุ้งแม่น้ำเผา ที่อร่อยที่สุดที่เราเคยกิน และที่สำคัญ ราคา ถูกมาก เราตั้งใจมากินกุ้งแม่น้ำเผาและอาหารอย่างอื่นที่อร่อยทุกอย่างในวันนี้เพื่อ ฉลองครบรอบแต่งงานกัน ๒ คน
ขับรถไปตามถนน ๓๒๐ ผ่าน รพ. ค่ายจักรพงษ์ ข้ามทางรถไฟ และขับตรงเรื่อยไปประมาณ ๑๐ กม. จนไปข้ามสะพานข้ามแม่น้ำปราจีนบุรี พอลงสะพานก็เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนน ๓๐๖๙ เลียบแม่น้ำปราจีนบุรี ผ่าน รพ. เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ไปนิดเดียวร้านชมชลอยู่ทางซ้ายมือติดกับแม่น้ำ มีแพให้ลงไปกินอาหารในแม่น้ำด้วย แต่วันนี้เขาไม่ได้จัดให้ลงไป และผมก็ลืมลงไปสำรวจ เอาไว้ไปคราวหน้าจะสำรวจมาเล่า รวมเวลาขับรถสบายๆ (ความเร็วไม่เกิน ๑๑๐ กม./ชม.) จากบ้านปากเกร็ดเพียง ๒ ชม. พอดี วันนี้แม่น้ำมีน้ำมากกว่าเมื่อ ๒ เดือนก่อนและน้ำสีออกแดงขุ่น
หมออมราสั่งกุ้งแม่น้ำเผา ๒ ตัว ส้มตำปูม้า และทอดมัน อร่อยมากทั้ง ๓ อย่าง ทั้งๆ ที่เวลานั้นยังแค่ ๑๑ น. ยังไม่หิว ส้มตำปูม้าเสิร์พแปลกกว่าร้านอาหารที่อื่น คือมาในครกเลยทีเดียว ผมลืมถ่ายรูปเอามาโชว์ เราสั่งอาหารใส่กล่องเอาไปกินเป็นอาหารเย็นที่เขาใหญ่ด้วย ได้แก่ปลากระพงทอดราดน้ำปลา แกงป่าปลาเห็ดโคน และผัดผักรวม อาหาร ๖ อย่างรวมข้าว น้ำแข็งและน้ำดื่ม เป็นเงิน ๗๖๐ บาทเท่านั้น
เจ้าของหรือผู้จัดการ (คงจะชื่อแหม่ม) อายุสัก ๔๐ ต้นๆ อัธยาศัยดีมาก เข้ามาคุยและถามว่าอาหารรสชาติถูกปากไหม เหมือนเชพเมืองนอกหรือตามภัตตาคารใหญ่ๆ ที่จริงเมื่อเราไปถึงเมื่อเวลา ๑๐.๓๐ น. เราได้ยินเสียงพระสวดอยู่ในห้องแอร์ของร้าน เด็กบอกว่ามีคนมาจองห้องแอร์ทั้งวันเพื่อฉลองวันเกิด มาจากสิงห์บุรี เป็นแขกเจ้าประจำ เขาเลี้ยงพระโดยทางร้านนิมนต์พระมาให้ ตอนเราสั่งกุ้งแม่น้ำเผาเด็กก็บอกว่าทางงานวันเกิดเขาจองหมดแล้ว แต่เจ้าของร้านบอกว่าจะแบ่งมาให้
การ์ดของร้านชมชลเขียนไว้ดังนี้ ร้านอาหารชมชล อาหารทะเลสดๆ ส้มตำปูม้ารสเด็ด รับจัดงานเลี้ยง ... รับทำข้าวกล่อง โทร. ๐๘๗-๑๓๒๔๒๘๓, ๐๓๗-๒๑๒๓๑๓ / แหม่ม ๑๒๔ ม. ๑๒ ต. ท่างาม อ. เมือง จ. ปราจีนบุรี (เลย ร.พ. เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ๕๐๐ เมตร)
อิ่มหนำสำราญปากและลิ้น เราออกเดินทางไปเขาใหญ่ก่อนเที่ยง โดยขับรถย้อนกลับทางถนน ๓๒๐ ไปถึงวงเวียนที่ตัดกับถนน ๓๓ ก็ขับตรงไป ถนนเส้นนี้หมายเลข ๓๐๗๗ เป็นถนน ๒ เลนขนาดใหญ่ ระยะทาง ๕๐ กม. ถึงเขาใหญ่ พอขับไปได้ ๑๐ กม. ก็ถึงด่านตรวจและเก็บเงินค่าเข้าเขาใหญ่ เราแค่ลดกระจกรถให้เขาดูหน้าว่าแก่ เขาก็ให้เข้าฟรี ผมขับรถบนถนนเส้นนี้ด้วยความสดชื่น เพราะขับอยู่ในป่า บนถนนชั้นหนึ่งที่สองข้างทางเป็นป่า เราขับผ่านดงจงอาง ดงกระทิง ด่านช้าง ขึ้นลงเขาไปเรื่อยๆ ผมนึกในใจว่า แค่ขับรถในบรรยากาศอย่งนี้ก็คุ้มกับการฉลองวันแต่งงาน ๓๙ ปีแล้ว ไม่นึกว่าความรู้สึกนี้จะช่วยปลอบใจในเวลาต่อมา เพราะเมื่อเราไปถามเรื่องห้องพัก ณ ที่ทำการอุทยาน ก็ได้คำตอบว่าที่พักเต็มหมด เพราะมีคนมาจัดสัมมนา นี่คือความบกพร่องของเรา เพราะเราเพิ่งตัดสินใจเมื่อคืนก่อนนี้เอง ไม่ทันได้จองที่พัก ซึ่งต้องโทรศัพท์ไปจองที่กรุงเทพ ๐๒ ๕๖๒ ๐๗๖๐ หรือจองทาง อินเทอร์เน็ต www.dnp.go.th
นี่เป็นครั้งแรกที่เราเข้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่จากทางด้านใต้ หรือทางจังหวัดปราจีนบุรี เมื่อผ่านทางเข้าไปไม่ไกลก็ถึงทางเข้าน้ำตกธารรัตนาซึ่งเราไม่ได้แวะ ขับรถ เลยไปหน่อยเดียวก็ถึงน้ำตกเหวนรก เราเลี้ยวเข้าไปพบบริเวณร่มรื่น มีคนมาเที่ยวไม่มาก บรรยากาศสงบสบใจเรามาก ทางเดินไปน้ำตก ๑ กม. เราไม่ได้เดินไปเพราะจะรีบไปจองที่พัก ผมติดใจเสียงนกที่ได้ยินบ่อยและสงสัยว่าเสียงนกอะไรมานานหลายปี ถามเจ้าหน้าที่อุทยานจึงทราบว่าเสียงนกเขาเปล้า ผมได้อัดเสียงมาด้วย มาคิดทีหลัง เสียดายที่ไม่ได้เดินไปชะโงกดูน้ำตกเหวนรก ระยะทาง ๑ กม. เหมาะสำหรับเดินออกกำลังและชมนกชมไม้ ผมจำได้ว่าเมื่อกว่า ๑๐ ปีมาแล้ว ผมมาเที่ยวน้ำตกเหวนรกกับทีม สกว. ไต่ลงไปชมน้ำตก บันไดลงชันมาก ผมใช้แขนและมือยันบันได จนข้อมือซ้น เจ็บข้อมืออยู่หลายปี
ในเมื่อเราไม่ได้ที่พักในวนอุทยานเขาใหญ่ เราก็ตัดสินใจกลับไปนอนบ้าน แต่จะเที่ยวชมบางบริเวณที่เราไม่เคยแวะเที่ยวเสียก่อน เราแวะชมบริเวณที่เขามีที่จอดรถและมีป้ายอธิบายเป็นป้ายโลหะ แห่งแรกคือบริเวณทุ่งหญ้า ผมได้เรียนรู้และตระหนักเป็นครั้งแรกในชีวิตว่าทุ่งหญ้าที่มีอยู่บนเขาใหญ่เป็นสิ่งที่ฝืนธรรมชาติ ทางอุทยานเขาจงใจทำให้มีทุ่งหญ้าอยู่เพื่อให้สัตว์กินหญ้าได้มีแหล่งอาหาร ทุ่งหญ้าเหล่านี้ถ้าไม่มีวิธีการอนุรักษ์ไว้ก็จะกลายเป็นป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ของอุทยานรักษาบริเวณทุ่งหญ้าไว้โดยการเผาป่า (อย่างระมัดระวัง ให้ไฟไหม้เฉพาะบริเวณที่ต้องการให้เป็นทุ่งหญ้า) ลงจากรถไปดู (และถ่ายรูปดารา วันนี้ผมต้องเอาใจ “ดาราในดวงใจ” ของผม เป็นพิเศษ ผมมีจุดด้อยในชีวิต ที่เอาใจคนไม่เป็น) และอ่านคำอธิบายไม่กี่ประโยค ผมก็เข้าใจเรื่องป่าและสัตว์ป่าเพิ่มขึ้นมากมาย จินตนาการ (ไม่รู้ว่าถูกหรือผิด) ต่อได้อีกยืดยาว ว่าที่ชาวบ้านเผาป่ามันก็มีเหตุผลอยู่ตาม “ภูมิปัญญาพื้นบ้าน” เพื่อให้มีสภาพของป่าตามแบบที่ชาวบ้าน (ป่า) ต้องการ แต่มีข้อเสียตรงที่เผาแล้วคุมไม่อยู่ ไฟลุกลามไปเผาป่าตรงที่เราอยากให้ดำรงสภาพป้าไม้
ผมเพิ่งเข้าใจ “ความหลากหลายของป่า” ในบริเวณเดียวกัน เพื่อให้สัตว์ป่าหลากหลายชนิดได้อยู่ร่วมกัน เอื้ออาศัยซึ่งกันและกัน คือทำหน้าที่ใน “ห่วงโซ่อาหาร” ให้ครบวงจร เพราะป้ายให้ความรู้เขาบอกว่าสัตว์ในทุ่งหญ้ามี ๓ ประเภท คือสัตว์กินหญ้า สัตว์กินเนื้อ และสัตว์ผู้ย่อยสลาย ผมว่านี่เน้นเฉพาะสัตว์นะครับ ถ้าเรามองให้เห็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตา เราจะเห็นสิ่งมีชีวิตอีกมากมาย รวมทั้งจุลินทรีย์ ที่ทำหน้าที่ในวัฏฏจักรของป่า
ในวันครบรอบแต่งงาน ๓๙ ปี ผมยังได้ “เรียนรู้เชิงลึก” ถึงเพียงนี้ และได้เรียนรู้ต่อไปอีกว่า น่าพิศวงในความโง่ของตนเอง ที่อยู่มาตั้ง ๖๖ ปีแล้ว เพิ่งจะมาเข้าใจเรื่องลึกๆ ของความหลากหลายของผืนป่าที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน
จากนั้นเราก็ชวนกันขับรถขึ้นเขาเขียว มีป้ายบอกว่าไปเขาเขียว ๑๖ กม. และผาเดียวดาย ๑๕ กม. ผมท่องเพลง (ร้องไม่เป็น) “รักกันสุดขอบฟ้า เขาเขียว เสมออยู่หอแห่งเดียว ร่วมห้อง” ขึ้นมาในใจ ให้สมกับบรรยากาศฉลองครบรอบแต่งงาน ๓๙ ปี แต่หนทางขรุขระครับ เราได้เห็นว่าถนนบนเขาใหญ่นั้น เป็นเกรด A+++ เฉพาะส่วนบริการนักท่องเที่ยวที่เที่ยวอยู่ตามถนนเส้นหลักเท่านั้น นักท่องเที่ยวซอกแซกอย่างเราต้องไปเผชิญถนนระดับ B ครับ มีหลุมบ่อให้ใช้ฝีมือขับรถหลบมากมาย และมีบริเวณที่น้ำไหลข้ามถนนอยู่ ๒ จุด แต่ก็เป็นสายน้ำที่ไม่แรงไม่ลึก แต่ก็พอจะบอกให้รู้ว่าวิศวกรที่ออกแบบถนนลืมใส่ท่อลอดให้น้ำได้ไหลลอดไป ไม่ทำลายผิวถนน หลังฝนตกเช่นนี้เราก็ได้ทัศนียภาพที่สวนงามไปอีกแบบ เราได้ชม “น้ำตกริมทาง” แถมให้ถึง ๒ ที่ คือมีน้ำตก ลงมาจาก “หน้าผาประดิษฐ์” ที่เป็นรอยตัดถูเขาทำถนน ยังดีที่วิศวกรเขาทำท่อรับน้ำ พา ไปลงเขาได้อย่างถูกทาง น้ำไม่ไหลเปะปะ
แล้วเราก็ได้ความรู้ว่า เขาเขียว ที่เราอุตส่าห์ใช้รถปีนขึ้นมาอย่างง่ายดายนั้น ก็ยังดำรงสภาพ “สุดขอบฟ้า” จริงๆ คือเข้าไปไม่ได้ เพราะเป็นเขตทหารอากาศที่ตั้งของเรดาร์ป้องกันประเทศ ในแผ่นพับของอุทยานเขาใหญ่เขียนไว้ว่า “จุดควบคุมและรายงานเขาเขียว” ผมเข้าใจว่า เป็นสถานีเรดาร์ที่ได้รับการสนันสนุนจากสหรัฐอเมริกามอบให้หลังสงครามเวียดนามยุติ พูดแบบไม่เกรงใจก็คือ สหรัฐอเมริกา เคยใช้สถานที่นี้แหละเป็นสถานีสำรวจพื้นที่เหนืออินโดจีน เพื่อทำสงครามรุกรานอินโดจีนในนามของการต่อต้านคอมมิวนิสต์ ปกป้องประเทศไทยไม่ให้โดนคุกคามโดยลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งมองอีกมุมหนึ่งก็น่าจะได้ผล และเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยจริงๆ เรื่องที่ซับซ้อนอย่างนี้คนปัญญาน้อยอย่างผมเจียมตัวว่าไม่ค่อยเข้าใจ
แต่เขาก็ทำจุดชมวิวไว้ให้ที่หน้าอาคารยามรักษาการณ์ ให้เราได้เห็น panoramic view ของบริเวณที่ทำการอุทยาน และบริเวณหอดูสัตว์ ที่อยู่ไกลลิบๆ เสียแต่ว่าต้นไม้มันโตขึ้นมาบังวิวจนไม่เห็นบางส่วน และเข้าใจว่าป้ายบอกว่าอะไรอยู่ตรงไหนน่าจะทำเมื่อกว่า ๑๐ ปีมาแล้ว ป่ามันเปลี่ยนไปมากแล้ว ทำให้ไม่เหมือนกับในป้าย ผมก็เกิดความคิดว่า เจ้าป้ายบอกวิวเช่นนี้น่าจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้เหมือนของจริงทุกๆ ๑ – ๒ ปี โดยต้องมีเจ้าหน้าที่หมั่นมาตรวจสอบ ป้ายให้สารสนเทศและความรู้นี้ดีมาก แต่ก็ต้องมีการ maintenance หรือ update ด้วย คนไทยเราอ่อนด้อยตรง maintenance นี่แหละ
ไฮไลท์ของการมาเที่ยวเขาใหญ่ครั้งนี้อยู่ที่ ผาเดียวดาย ครับ ผมถามทหารรักษาการณ์ว่าที่ผาเดียวดายมีอะไร เขาบอกว่าวิวสวยและเคยเป็นฉากถ่ายหนังเรื่องอะไรผมก็ฟังไม่ถนัด เมื่อเราลงมาถึงบริเวณที่มีป้ายใหญ่เขียนบอกว่า ผาเดียวดาย เราก็จอดรถ เห็นมีรถปิกอัพจอดอยู่คันเดียว มองไม่เห็นทางไปหน้าผา โชคดีจริงๆ ที่หนุ่มสาวเจ้าของรถปิกอัพโผล่มาพอดี เราจึงได้รู้ว่าทางไปผาเดียวดายอยู่คนละฝั่งถนนกับป้ายใหญ่ โดยตรงทางลงไปหน้าผามีป้ายเล็กๆ อธิบายรายละเอียดอย่างดี แต่เราไม่เห็นถ้าหนุ่มสาวสองคนนี้ไม่บอก เขาบอกว่า “ลมเย็นดีมากค่ะ” อ่านป้ายจึงรู้ว่า นี่แหละสุดยอดของการมาเที่ยวเขาใหญ่ละ เพราะนี่คือเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ ที่ระยะทางเพียง ๔๖๖ เมตร เหมาะกับคนแก่อย่างเราที่สุดแล้ว เป็นเส้นทางที่เราสมหวังที่สุด เพราะเส้นทางพอเหมาะพอดี มีการปีนเขาพอเหมาะ เส้นทางมีการเตรียมอำนวยความสำดวกไว้ดีทีเดียว และหน้าผาก็สวย ที่ผมชอบมากคือมีธรรมชาติให้ผมถ่ายรูปหลายรูป โดยเฉพาะต้นเฟิร์น ดอกว่านป่าสีเหลืองงดงาม และต้นไม้อิงอาศัยที่เปลือกไม้ใหญ่ ผมตั้งใจว่าไปเขาใหญ่ครั้งหน้า จะต้องจองที่พักไปก่อน และต้องไปชมผาเดียวดายตอนพระอาทิตย์ขึ้น เขาว่างดงามมาก
เส้นทางเดินวนเป็นวง กลับมาที่ถนนตรงทางออกห้างจากทางเข้าประมาณ ๑๐ เมตร เหมาะมาก ทางเดินมีทรายด้วย ถ้าทางอุทยานไม่ได้ขนทรายมาโรย ก็แสดงว่าทรายเกิดขึ้นตามธรรมชาติจากลำธารเล็กๆ บนเขาด้วย เป็นทรายที่ขาวมากเม็ดละเอียด
ผาเดียวดายไม่ให้ความรู้สึกเดียวดายแก่ผมเลย ผมตื่นเต้นมากกับทิวทัศน์ และดอกไม้ต้นไม้เล็กๆ ที่งดงาม ถ้าเราเอาใจใส่สังเกตเห็นมัน และถ่ายรูปอย่างไม่ยั้ง
เราขับรถกลับตามเส้นทางเดิม กลับถึงบ้าน ๑๘.๑๕ น. ช่วงผ่านปากทางรังสิตรถติดมาก เพราะมีรถชนกันกั้นเลนกลางของถนนซึ่งมี ๓ เลน รวมระยะทางที่ขับรถวันนี้ ๓๙๔ กม. รถกินน้ำมันเฉลี่ย ๑๒.๒ กม./ลิตร ผมปลอบใจตัวเองว่าบ้านผมก็มีสภาพคล้ายอยู่ในป่า ล้อมรอบด้วยต้นไม้ มีเสียงนกร้องขับกล่อมตลอดวัน คือแม้เราจะรุกรานที่อยู่ของเขา สัตว์ป่าหลายชนิดก็ปรับตัวให้อยู่ร่วมกับเรา และให้ความสดชื่นของธรรมชาติแก่เรา ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติ รู้จักเอื้อเฟื้อแก่สัตว์ป่าบ้าง
AAR การขับรถสักเล็กน้อย ไปเขาใหญ่คราวที่แล้วขับรถ ๑๖๐๐ ซีซีคันเก่าอายุ ๘ – ๙ ปี ดีตรงกินน้ำมันน้อย แต่ความสบายสู้คันใหม่ไม่ได้ ส่วนที่ดีมากของรถคันใหม่ตรงที่ระบบเครื่องเสียง ผมได้ฟังเพลงคลาสสิค และไล้ท์มิวสิค ไปตลอดทาง ในบรรยากาศของป่า เพลงเพราะขึ้นกว่าบรรยากาศพลุกพล่านในเมือง
กลับมาบ้าน ค้นพบหนังสือ “เขาใหญ่” สารคดีชุด “แผ่นดินเราสวย” อันดับ ๓ จัดทำโดย สยามสปอร์ท ซินดิเคท ตุลาคม ๒๕๓๘ ที่ผมซื้อมาเก็บไว้กว่า ๑๐ ปีแล้ว หนังสือเล่มนี้ให้ข้อมูลและแนวคิดรักธรรมชาติ มีรูปสวยๆ หลายรูป แต่ในเวลา ๑๓ ปี เขาใหญ่เปลี่ยนไปมาก เทคโนโลยีก็เปลี่ยนไป ชื่อสถานที่บางแห่งก็เปลี่ยนไป เช่น ผาตรอมใจ กลายเป็น ผาเดียวดาย ในหนังสือยังแนะนำการถ่ายภาพสัตว์ป่าด้วยกล้องใส่ฟีล์ม นอกจากนั้น หนังสือยังทำสำหรับผู้อ่านหรือนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เป็นคนหนุ่มสาว เราคนแก่ต้องรู้จักปรับสาระให้เข้ากับสังขารและความสนใจของเรา
ผมยังได้เข้าไปใน เว็บไซต์ www.dnp.go.th ของกรมอุทยานแห่งชาติฯ และได้ข้อมูล ความรู้ มากมาย จึงขอแนะนำให้นักท่องเที่ยวตรวจสอบข้อมูลใน เว็บไซต์ นี้ก่อนวางแผนไปเที่ยว
![]() |
![]() |
ทุ่งหญ้าอนุรักษ์ โดยการเผาป่า
|
ทางลงไปชมผาเดียวดายและเดินศึกษาธรรมชาติ
|
![]() |
![]() |
ดอกไม้ป่าที่น่าจะเป็นว่านชนิดหนึ่ง
|
ดอกไม้กับแมลง
|
![]() |
![]() |
ความงามที่ได้จากการสังเกต
|
หลายชีวิตที่เปลือกไม้
|
![]() |
![]() |
สีสันอันงดงาม
|
ผาเดียวดาย
|
![]() |
![]() |
ป่าเขางามที่ผาเดียวดาย
|
ทรายขาวบนเขา
|
วิจารณ์ พานิช
๑๐ พ.ค. ๕๑