ขณะนี้ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาเด็กปฐมวัยของไทยเรา โดยที่ว่าบุคลากรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กนั้นต้องมีความเชื่อมั่นในการนำหลักการศึกษาปฐมวัย หลักจิตวิทยาพัฒนาการ ตลอดจนทฤษฏีและแนวคิดที่เมืองไทยนำมาเป็นหลักในการพัฒนา หลักการดังกล่าวไม่เปลี่ยนแปลงแต่วิธีการอาจปรับเปลี่ยนตามสภาพเหตุการณ์ ปัจจัยแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
การพัฒนาเด็กปฐมวัยตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 ยึดหลักพัฒนาการเด็ก โดยพัฒนาอย่างเป็นองค์รวม ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ – จิตใจ สังคม และสติปัญญา คำนึงถึงลักษณะตามวัย โดยมีปรัชญาการศึกษาปฐมวัย คือ
การศึกษาปฐมวัยเป็นการพัฒนาเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 5 ปี บนพื้นฐานการอบรมเลี้ยงดูและการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติและพัฒนาการของเด็กแต่ละคน ตามศักยภาพ ภายใต้บริบทสังคม วัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ด้วยความรัก ความเอื้ออาทร และความเข้าใจของทุกคนเพื่อสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เกิดคุณค่าต่อตนเองและสังคม
จึงเห็นว่าสิ่งที่เรานำมาเป็นหลักในการพัฒนาอยู่บนหลักวิชาและการวิจัยต่าง ๆ ที่รองรับไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกหรือการคิดขึ้นมาเอง ถ้าบุคคลที่เกี่ยวข้องนำหลักที่กล่าวข้างต้น มาปฏิบัติ เด็กไทยคงจะพัฒนาทั้งด้าน I.Q และ E.Q อย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้น แต่เราก็พบว่า จากงานวิจัยหลายชิ้นที่ไม่เป็นไปตามนั้น ผลการวิจัยในปัจจุบันพบว่าเด็กไทยมี IQ. และ E.Q ลดลง ผู้เขียนจะไม่พูดถึงประเด็นนั้น แต่จะขอพูดถึงหลักที่เรานำมาใช้ในการพัฒนาเด็กปฐมวัยต่อ คือ แต่เดิมเราก็นำเรื่องสมองมาเป็นหลักในการพัฒนาเด็กปฐมวัย สำหรับในปัจจุบันนี้มีการศึกษาทางด้านปราสาทวิทยา โดยเฉพาะการศึกษาสมองที่มีการค้นพบใหม่ ๆ ซึ่งลึกและเปลี่ยนแปลงความเข้าใจเรื่องการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนอย่างมีนัยสำคัญ ฉะนั้นความรู้เดิมเกี่ยวกับเรื่องสมองยังไม่ได้ทิ้งไป แต่เราจะเอาความรู้ที่พัฒนาขึ้นนั้นไปพัฒนาการจัดประสบการณ์ให้กับเด็กปฐมวัยให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร ครูปฐมวัยบางคนอาจเข้าใจว่า ที่เราจัดประสบการณ์ตามตารางกิจกรรมประจำวันนั้นควรจะเลิกไปใช่ไหม เพราะตอนนี้เราจะพัฒนาสมองอย่างเต็มที่ คำตอบคงจะไม่ใช่ เมื่อเรามีความรู้เพิ่มเติมอย่างมหัศจรรย์เกี่ยวกับสมองแล้ว ครูปฐมวัย พ่อแม่ ผู้ปกครอง ผู้บริหาร จะนำความรู้เรื่องสมองหรือจัดความรู้เรื่องสมองไปใช้อย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จึงเป็นหน้าที่ของพวกเรา ประเด็นแรกคือ ต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องหลักการนำความรู้เรื่องสมองมาใช้ และที่จะขาดไม่ได้คือมีความตระหนักในความสำคัญของเรื่องสมอง สุดท้ายคือนำความรู้เรื่องสมองไปใช้ได้อย่างไร ที่แน่ ๆ ไม่ได้ทิ้งความรู้เดิม แต่จะนำความรู้ใหม่ไปผสมผสานกับความรู้เดิมให้เกิดผลที่ตัวเด็กปฐมวัยอย่างเหมาะเจาะเป็นเด็กไทยที่มีคุณธรรม จริยธรรม มีความสามารถในด้านต่าง ๆ มีความเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน ผสมผสานความเป็นไทยเข้ากับความเจริญก้าวหน้าของโลก ความทันสมัยของเทคโนโลยีอย่างลงตัว เป็นโจทย์ที่พวกเราจะต้องร่วมกันทำต่อไป สิ่งที่ควรเข้าใจและนำไปปฏิบัติ สามารถกล่าวได้ดังนี้
สมองของมนุษย์
สมองของเด็กพัฒนาตั้งแต่อยู่ในครรภ์และมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วมากในช่วง 2 – 3ปีแรกหลังคลอด สมองของเด็กแรกคลอดจะหนักประมาณ 350 ถึง 500 กรัม มีเซลล์สมองอยู่ประมาณกว่า 1 แสนล้านเซลล์ซึ่งจะไม่มีการสร้างเพิ่มเติมอีกหลังคลอด สมองของเด็กจะเติบโตขึ้นจนมีขนาดเกือบเท่ากับสมองของผู้ใหญ่ ในวัยเพียง 3 ขวบ โดยมีน้ำหนักสมองประมาณ 1,100 กรัม หรือราวร้อยละ 80 ของสมองผู้ใหญ่ (สมองผู้ใหญ่จะหนักประมาณ 1.3 ถึง 1.5 กิโลกรัม)
เด็กวัยทารกจนถึงสามขวบเป็นช่วงวัยที่มีความสำคัญมากในการพัฒนาศักยภาพทางสมอง เพราะเป็นช่วงเวลาแห่งการเปิดรับข้อมูลการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกอย่างรวดเร็ว กล่าวกันว่าสมองของเด็กทารกมีการเรียนรู้มากกว่าการเรียนรู้ของผู้ใหญ่เป็นพัน ๆ เท่า เด็กเรียนรู้ ทุกอย่างที่เข้ามาปะทะล้วนเป็นข้อมูลเข้าไปกระตุ้นสมองเด็กทำให้เกิดเครือข่ายเส้นใยสมองและจุดเชื่อมต่าง ๆ อย่างมากมายซึ่งจะทำให้เด็กเข้าใจและเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น นักวิทยาศาสตร์ เชื่อว่ายิ่งสมองเด็กมีเส้นใยสมองและจุดเชื่อมต่อมากเท่าไร เด็กจะยิ่งฉลาดมากขึ้นเท่านั้น สมองจะทำหน้าที่นี้ต่อไปจนถึงอายุ 10 ปี จากนั้นสมองจะเริ่มกำจัดเครือข่ายเส้นใยสมองที่ไม่ได้ใช้ทิ้งไป เพื่อให้ส่วนที่เหลือมีความสามารถและมีประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด
การทำงานของสมองที่มีประสิทธิภาพส่วนหนึ่งมาจากการฝึกฝน เช่นเดียวกับการป้อนข้อมูลต่าง ๆ ให้สมองก็เป็นการช่วยให้สมองเก็บข้อมูลได้มากขึ้น มีข้อมูลมากขึ้น แต่การฝึกสมองให้สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดไม่ใช่เรื่องของการจำอย่างเดียว เพราะถึงแม้การจำจะเป็นสิ่งที่จำเป็น เป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์ แต่ก็เป็นเพียงขั้นพื้นฐานของสมองที่จะต้องมีการจำความรู้เพื่อนำไปใช้ในขั้นตอนต่อไป บางครั้งการจำไม่ได้ทำให้เกิดการเรียนรู้ แต่อาจไปสกัดกั้นการทำความเข้าใจเนื้อหาของความรู้ ความจริงแล้วการฝึกให้สมองสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเป็นเรื่องของการคิด เพราะถ้าหากสมองคิดเป็นก็เรียกได้ว่าคน ๆ นั้นเป็นคนที่มีศักยภาพมีประสิทธิภาพ การคิดเป็นการทำงานของสมองที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เพียงแต่ว่าเราจะต้องจัดการเรียนรู้หรือจัดสิ่งกระตุ้นให้มากพอที่สมองจะได้คิด การคิดสามารถพัฒนาและฝึกฝนได้
สมองแบ่งเป็น 2 ส่วน แต่ละส่วนจะทำหน้าที่เฉพาะ สำหรับคนส่วนมากแล้ว สมอง ซีกขวาจะเป็นด้านที่รับรู้เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับคำพูด โดยควบคุมการมองเห็นภาพและกะระยะความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ที่มองเห็น รวมทั้งเป็นส่วนที่มีความสามารถเกี่ยวกับดนตรี
การรับรู้ภาพ หมายถึง การที่คนเราสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ในขณะที่เดินอยู่พร้อมกันนั้นก็จะคะเนและตัดสินใจจากข้อมูลที่ผ่านสายตาเข้ามาว่าตัวเราควรอยู่ตรงไหนในสภาพแวดล้อมที่มีคนหรือวัตถุอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
สมองซีกซ้ายเป็นส่วนที่รับรู้ด้านภาษา และคำพูด สมองซีกนี้เองที่เป็นด้านซึ่งเกี่ยวข้องกับการอ่านหรือการเขียนของเด็ก
ดังที่กล่าวมาแล้วว่าคนส่วนมากลักษณะสมองจะเป็นเช่นนี้ แต่จะไม่ทุกคนคือประมาณร้อยละ 80 ของประชากรในโลกนี้ ส่วนประชากรอีกร้อยละ 13 – 14 สมองจะทำงานตรงกันข้าม
เมื่อเราพูดว่าคนไหนอยู่ในกลุ่มสมองซีกซ้ายหรือสมองซีกขวาไม่ได้หมายถึงว่าสมองด้านนั้นจะครอบคลุมการทำงานทั้งหมด เดิมเราเคยเชื่อว่าสมองทั้ง 2 ด้าน ทำงานเหมือนกัน จึงอาจเป็นได้ที่สมองซีกใดซีกหนึ่งจะครอบงำสมองอีกซีกหนึ่ง แต่ปัจจุบันเชื่อว่าสมองแต่ละด้านมีหน้าที่เฉพาะและถนัดในหน้าที่นั้น
สมองทั้งสองด้านต้องทำงานร่วมกัน กระบวนการทำงานจะเกิดขึ้นทั้ง 2 ด้านในเวลาเดียวกัน เด็กที่มีปัญหาเรื่องการเรียนรู้อาจจะมีความผิดปกติที่สมองด้านใดด้านหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น เด็กที่อ่านเขียนหนังสือไม่ได้หากมีการทำงานของสมองด้านขวาผิดปกติจะไม่สามารถรับรู้เรื่องคำเป็นคำเต็มได้ เขาจะเห็นคำที่แยกกัน เช่น “แจ” และ “กัน” แต่เขาไม่สามารถนำคำมารวมกันและอ่านเป็นคำเต็ม เช่น แจกันได้
ในทางกลับกันถ้าสมองด้านซ้ายของเด็กทำงานผิดปกติ เด็กจะมองเห็นคำเป็นภาพรวม เวลาเรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งและสองเขายังคงอ่านจากความจำได้ แต่เมื่อเด็กขึ้นไปเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่สาม สี่และห้า และต้องเรียนรู้คำซับซ้อนขึ้น เด็กจะไม่สามารถแยกคำเพื่อจะสะกดและประสมคำได้
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่สมองทั้งสองด้านทำหน้าที่ประสานสอดคล้องกันอย่างเหมาะสม
การพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าต้องเริ่มต้นพัฒนาสมองของประชากรตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา เด็กปฐมวัยควรได้รับการกระตุ้นสมองให้เกิดเครือข่ายเส้นใยสมองและจุดเชื่อมโยงต่าง ๆ เพื่อส่งผลให้เด็กเกิดการเรียนรู้และเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น กระบวนการทำงานของสมองเกิดขึ้นมากเท่าไรจะทำให้เด็กยิ่งฉลาดมากขึ้นเท่านั้น การพัฒนาสมองจะมีการกำจัดเครือข่ายเส้นใยสมองที่ไม่ได้ใช้ทิ้งไป เพื่อให้ส่วนที่เหลือมีความสามารถและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด การฝึกให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเป็นเรื่องของการคิด การคิดเป็นกระบวนการทำงานของสมองที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ การคิดสามารถพัฒนาและฝึกฝนได้ ประเทศใดมีประชากรที่มีความสามารถทางการคิด จะสามารถสร้างพลังการเปลี่ยนแปลงประเทศนั้นให้เจริญก้าวหน้าไม่มีที่สิ้นสุด ฉะนั้นเราจึงควรเริ่มในเด็กปฐมวัยไทยเราตั้งแต่บัดนี้
ดิฉันเป็นครูบ้านนอกคนหนึ่ง สมัครใจที่จะสอนนักเรียนชั้นอนุบาล เพราะต้องการที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับเด็กไทยซึ่งเป็นอนาคตของชาติ แม้สิ่งที่ได้ทำเป็นหนึ่งในล้านก็ยังคิดที่จะทำต่อไป โดยศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาสมองควบคู่ไปกับการลงมือปฏิบัติ ขอบคุณสำหรับความรู้ที่ยอดเยี่ยมที่ได้เข้ามาอ่านเจอในวันนี้
สมองเป็นสิ่งที่สำคัญมากในร่างกายของมนุษย์เป็นอย่างมากที่สุด ยิ่งในเด็กปฐมวัยแล้วการพัฒนาสมองไปในทางที่ดี เป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก การพัฒนาสมองของเด็กหากเริ่มพัฒนาตอนที่โตแล้วจะเป็นการพัฒนาที่ช้าไป และจะไม่มีผลต่อความคิดสร้างสรรค์ของเด็กเท่าไรนัก ดังนั้นจากบทความข้างต้นจึงเป็นสิ่งดีและเป็นสิ่งที่ควรส่งเสริมให้กับทุกสถาบันได้ร่วมกันพัฒนา