ก่อนจะมาที่วัดป่าเจริญราช เราเคยเปิดเข้าไปดูในเว๊ปไซต์ของวัดแล้วเห็นรูปของมักกะลีผล – นารีผล ด้วย (ตอนนี้ไม่รู้ว่ารูปนั้นอยู่ไหน) ก็รู้ว่าที่นี่ก็มีแบบนี้ด้วย ทำให้นึกถึงหนังสือ มักกะลีผล – นารีผล ของร.ศ.ด.ร.สุจิตรา อ่อนค้อม ที่เขียนถึงชีวประวัติของหลวงพ่อจรัญ ฐิตะธัมโม หรือปัจจุบันคือ พระเทพสิงหบุราจารย์ วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ในนามของหลวงพ่อเจริญ วัดป่ามะม่วง
เราก็เคยได้รับแจกหนังสือสวดมนต์เล่มเล็กของหลวงพ่อที่แนะนำการสวดมนต์เริ่มตั้งแต่บทบูชาพระรัตนตรัย นะโมฯ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ พาหุง มหากา อิติปิโสเท่าอายุบวกหนึ่ง คาถาชินบัญชร แผ่เมตตาและกรวดน้ำ ทำให้เราศรัทธาการสวดมนต์และฝึกสวดมนต์ แต่ก็สวดบ้าง ไม่สวดบ้าง (เพราะขี้เกียจ) ก็รู้เลยว่าช่วงไหนพยายามสวดมนต์ ชีวิตก็จะมีสิ่งดีๆเข้ามา ทำให้เราพยายามที่ขยันสวดมนต์ทุกวัน เหมือนกับที่หลวงพ่อกล่าวไว้ว่า “สวดมนต์เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน” ตอนนี้โชคดีอยู่ที่วัดก็เลยทั้งกินยาและทายาไปด้วย
ที่วัดมีหนังสือธรรมะเล่มเล็กของหลวงพ่อจรัญ ที่คนใจบุญทั้งหลายสั่งพิมพ์ แล้วนำมาถวายหลวงพ่อเพื่อแจกเป็นธรรมทาน หนังสือที่ต่างๆช่วยเผยแพร่เรื่องการสวดมนต์และความรู้เกี่ยวกับกฏแห่งกรรม วิธีแก้กรรมมากมาย (อ่านสนุกได้ความรู้ดีค่ะ) เราก็เก็บสะสมไว้ทุกชุดที่แจก ตั้งแต่สวดมนต์ ทำกรรมฐาน ตามแบบหลวงพ่อจรัญ ทางสายเอก กฏแห่งกรรม พุทธฤทธิ์พิชิตมาก(น่าอ่านมาก) และได้ร่วมทำบุญใส่ตู้หนังสือธรรมะด้วยค่ะ (ขออนุโมทนา สาธุ กับพวกท่านเหล่านี้ด้วยนะคะ) เพราะเราได้เอามาอ่านและปฏิบัติตามหลวงพ่อจริงๆ ได้ผลดีจริงๆค่ะ ตอนนี้เราศรัทธาท่านมาก เราเชื่อว่าท่านเป็นพระอรหันต์จริงๆ อยากจะไปกราบนมัสการท่านมาก แต่ยังไม่มีโอกาสเลยค่ะ คิดว่าเราน่าจะได้ไปเร็วๆนี้แหละค่ะ
โชคดีที่ก่อนมาพี่หมวย (อาจารย์ที่มหาวิทยาลัย) ใจดีมากเอาหนังสือมักกะลีผล – นารีผลและสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมมาให้เรายืมอ่าน (เคยอ่านหรือยังค่ะ ถ้าไม่เคยไปหาอ่านให้ได้นะคะ ถ้าขี้เกียจอ่าน ที่วัดป่าฯก็มีซีดีเรื่องนี้ขายค่ะ รายได้เข้าวัด สร้างโรงอุโบสถค่ะ) เราก็เลยได้รู้ ชีวประวัติของหลวงพ่อจรัญ ฐิตะธัมโม คร่าวๆมาบ้าง(สนุก ตื่นเต้นและได้ข้อคิดดีๆมากค่ะ) ทำให้เราเกิดแรงบันดาลใจและเชื่อในกฏแห่งกรรมมากขึ้น(นี่เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เราตัดสินใจอยู่ปฏิบัติกรรมฐานต่อ จาก 7 วัน เป็น 15 วัน เพราะเราอยากตัดกรรมตามที่หลวงพ่อบอกไว้ในหนังสือ) จนอยากบวชเพื่อปฏิบัติธรรม ตอนแรกก็ตั้งใจจะไปฝึกปฏิบัติกรรมฐานที่วัดอัมพวันคนเดียว (รู้ไหมค่ะว่าการชวนคนไปปฏิบัติธรรมนี่ยากมาก) แต่พอดีนุ้ยชวนมาที่นี่ (ดีใจที่มีเพื่อน) เราก็เลยมาที่วัดป่าฯนี้
บรรยากาศที่วัดป่าเจริญราชเหมือนกับวัดป่ามะม่วงในหนังสือเลยค่ะ เหมือนจนเราต้องโทรไปเล่าให้พี่เก๋กับอ.ขวัญเพื่อนเราฟัง (เพราะอ่านหนังสือแล้ว) เหมือนในช่วงที่หลวงพ่อเจริญเข้ามาบุกเบิกพัฒนาวัดให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม สร้างศาลาและมีคนทยอยเข้ามาบวชเรื่อยๆ (เราได้รู้ที่หลังว่า หลวงพ่อวีระนนท์ก็เป็นหนึ่งในตัวละครของหนังสือด้วย ) ที่สำคัญที่นี่มีมักกะลีผล – นารีผลให้ดูด้วย ได้บรรยากาศมากๆค่ะ เหมือนกับตัวหนังสือออกมาเป็นของจริงเลยค่ะ (ขอโทษนะคะ ช่างจินตนาการไปหน่อยค่ะ) ทำให้เรารู้สึกสุข สนุกและอบอุ่นใจ ถึงแม้จะต้องอยู่คนเดียวที่กุฏิก็ตาม
นอกจากหนังสือ ซีดี มักกะลีผล – นารีผลและหนังสือสวดมนต์ของหลวงพ่อจรัญแล้ว เราเห็นรูปที่หลวงพ่อถ่ายกับหลวงพ่อจรัญด้วย (หลายใบ) ติดอยู่ที่กุฏิรับแขกและศาลายาวด้วย (เพื่อนๆเริ่มสงสัยเหมือนเราไหม) และมีพระสงฆ์จากวัดอัมพวันรูปหนึ่ง ท่านกำลังตั้งใจปฏิบัติกรรมฐานอย่างเต็มที่ (ไม่หลับไม่นอน ขยัน ตั้งใจมาก) ท่านบอกว่ามาให้หลวงพ่อแก้อารมณ์กรรมฐาน 7 วัน (แสดงว่าหลวงพ่อก็เก่งนะคะ) ได้คุยกับท่านแค่ครั้งเดียวค่ะ แล้วก็ไม่ได้คุยกับท่านอีกเลย ท่านกลับไปตอนไหนเรายังไม่รู้เลย
ตอนนี้ที่วัดป่าเจริญราช เหลือผู้ปฏิบัติธรรม บวชชีถือศีล 8 แค่ 3 คนเท่านั้น (ไม่นับแม่ชีกับตานีนะคะ) คือพี่เอ้ มาจากยุวพุทธฯ ซ.เพชรเกษม 54 มาแก้อารมณ์กรรมฐานกับหลวงพ่อ (เราก็เพิ่งรู้ว่า หลวงพ่อเป็นพระวิปัสสนาจารย์ที่ยุวพุทธ ฯ ด้วย) น้องปู มาจาก True ลาพักร้อนมาปฏิบัติกรรมฐานโดยเฉพาะ ปูบอกเราด้วยว่า มาอยู่ที่วัดได้ประโยชน์ดีกว่าเอาเงินไปเที่ยวที่อื่นเยอะ (ปูนั่งสมาธิได้เก่งมาก ทั้งนิ่ง ทั้งนาน เดินจงกรมก็เก่ง ดูสงบมากซึ่งขัดจากบุคลิกสาวมั่น เปรี้ยว สวยของเธอ) แตกต่างจากเรา หันทางซ้ายก็เจอคนเก่ง หันทางขวาก็เจอคนเก่ง เค้าตั้งใจปฏิบัติกรรมฐานกันมาก ดูตัวเองแล้วยังไม่ไปถึงไหนเลย ยังอดทนไม่ได้เลย เฮ้อ! ยิ่งคิดยิ่งเศร้าใจ อยากกลับบ้าน คิดถึงลูก นี่เราคิดผิดหรือเปล่าเนี่ยที่อยู่ปฏิบัติต่อ โดยเฉพาะช่วงที่บรรยากาศสงบและเงียบเหงามากอย่างนี้
ตกลงว่าวันนี้พี่สวยเค้าก็โทรมาขอโทษเราที่ไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนเรา และบอกว่ากลับมาแล้วปัญหาทางบ้านก็ไม่หนักเหมือนที่คิดไว้ เค้าก็อายนะที่กลับมาแบบนั้น ถ้าเค้าไม่อยากอยู่จริง เค้าไม่ทนร้อนมาตลอดบ่ายหรอก แต่ห่วงทางบ้านไม่กลับก็ไม่ได้ เราก็ไม่ได้ว่าอะไร ได้แต่ให้กำลังใจพี่เค้า ว่า “ไม่เป็นไรค่ะ วันหลังถ้าพร้อมแล้ว ค่อยมาใหม่นะคะ แพรจะมาเป็นเพื่อน”
หลังจากฉันเพลเสร็จ ปกติแล้วพวกเราต้องช่วยกันเก็บล้างชามกันมหาศาลที่คนใจบุญทั้งหลายนำอาหารมาเลี้ยงพระ แล้วก็จากไป แม่ชีก็เดินมาบอกเรา 3 คนให้ไปช่วยเก็บกวาดเช็ดถูที่ชั้น 2 บนศาลาใหม่ เพื่อเตรียมงานยกพระประธานในวันเสาร์ที่ 12 เมษายน ที่จะถึงนี้ (นี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำให้เราตัดสินใจอยู่ปฏิบัติกรรมฐานต่อ จาก 7 วัน เป็น 9 วัน เพราะเราอยากทำบุญยกพระประธานกับทำบุญสงกรานต์ก่อนค่อยกลับ ปฏิบัติแล้วก็อยากอยู่ต่อมาเรื่อยๆจนถึง 15 วัน) วันนี้พี่อ้อยแม่ครัวเลยต้องรับศึกหนักคนเดียว (น่าสงสารมาก ถ้าเพื่อนๆไปทำบุญที่วัดอย่าลืมล้างชามเอาบุญด้วยนะคะ) เราก็รีบขึ้นไปกันกะว่าเสร็จเร็วจะได้มาปฏิบัติกรรมฐานต่อ
โอ้..พระเจ้า ไม่อยากจะเชื่อฝุ่นบนศาลาเยอะมาก และเป็นฝุ่นปูนด้วย คันมาก น่ากลัวมาก (เพราะเราเป็นโรคภูมิแพ้ฝุ่นอยู่แล้ว ไม่ให้กลัวได้ไงค่ะ เราเคยแพ้มากจนหอบหืดด้วย แล้วเราอยู่คนเดียว อยู่วัดไกลจากโรงพยาบาล รถเข้าออกลำบาก เครียดเลยเรา) เรามีกัน 3 คน มีไม้กวาด ไม้ถูพื้น กับเครื่องดูดฝุ่น 1 ตัวเล็กๆ พวกเราเรียกมันว่า “ไอ้เต่า” มันช่วยกันทำความสะอาดศาลาวัดได้มาก (ถ้าใครอยากได้บุญเยอะๆนะคะ ช่วยซื้อเครื่องดูดฝุ่นตัวใหญ่ๆไปถวายวัดหน่อยเถอะค่ะ จำเป็นมาก) เราก็พยายามกวาดพื้นด้วยมือซ้ายนะ เพราะมือขวาเส้นเอ็นอักเสบมานานมากแล้ว (รักษาไม่หาย) ทำให้ถือของ จับของ ทำงานมากๆไม่ได้ (สงสัยจะเป็นโรคกรรม) แต่ก็ไม่ไหวต้องเอามือขวามาช่วยกวาดด้วย ศาลาใหม่ใหญ่มาก งานที่ทำค่อนข้างเกินกำลังจนเรารับไม่ไหว ทั้งคัน ทั้งปวดข้อมือ ทั้งที่พยายามกำหนด “กวาดหนอๆ” ไปตลอดแล้วก็เอาชนะความเจ็บปวดที่ข้อมือกับความกลัวไม่ได้ (รับไม่ได้แล้ว) พอกวาดเสร็จเราก็เลยรีบขอตัวออกมาก่อนเพราะไม่ไหว (รู้สึกผิดมากเหมือนกันค่ะที่เอาเปรียบเพื่อนๆ) อาบน้ำเสร็จเราก็ปฏิบัติกรรมฐานในกุฏิไม่อยากออกมาเห็นความวุ่นวายข้างนอกเลย
เย็นวันนั้น หลวงพ่อก็ให้พวกเรามาทำวัตรเย็นและปฏิบัติกรรมฐานบนศาลาใหม่ ดีค่ะที่นี่มีมุ้งลวด ยุงก็เลยไม่ค่อยมี (น่าเสียดายค่ะ เพราะเราเพิ่งจะซักหมวกมุ้งที่เอาไว้ใส่กันยุงตอนนั่งสมาธิ ก็เลยไม่ได้ใช้เลยค่ะ) แต่เหม็นกลิ่นสี กลิ่นทินเนอร์มาก แล้วจะคันๆจากฝุ่นปูนด้วย แต่พวกเราก็ทำวัตรเย็น เจริญกรรมฐานผ่านไปได้ด้วยดี (แม้เราจะไม่ค่อยสงบใจนักก็ตาม)
บนศาลาใหม่มีมักกะลีผล – นารีผล อยู่ในตู้โชว์ด้วยค่ะ เราก็ไหว้แล้วล่ะตั้งแต่วันแรก นึกถึงตอนก่อนจะมา วันที่พรเปิดดูรูปในเว๊ปไซต์ของวัด มีอาจารย์ท่านหนึ่งเข้ามาเห็นแล้ววิพากวิจารณ์เลยว่า เป็นของปลอม เค้าเคยไปเห็นโรงงานทำมาแล้ว ฯลฯ (ดูถูกสารพัด เรากับพรก็เถียงสู้ไม่ได้) น่าเศร้าใจนะ คนที่มีความรู้ระดับครู อาจารย์ แต่มาตัดสินอะไรบางอย่างแค่ได้เห็นรูป ทั้งๆที่ยังไม่ได้สัมผัสของจริง แล้วยังมาบอกให้พวกเราไปบอกทางวัดด้วยว่า นี่ของปลอมให้เอาออก อย่ามาโชว์ อย่ามาให้คนบูชา(บาปกรรมจริงๆ) เราน่ะ เชื่อว่าของจริง เพราะถ้าไม่จริงหลวงพ่อคงไม่เอามาตั้งไว้ให้บูชาหรอก (เราเชื่อว่ามีอะไรอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้ ไม่เห็น และเกินสติปัญญาเรา แต่มีอยู่จริง)ที่จริงเราก็อยากรู้นะว่าหลวงพ่อเอามาได้ไง จะเหมือนที่หลวงพ่อเจริญ (ในหนังสือ)ได้มาหรือเปล่า แล้วมีลักษณะแบบนั้นหรือไม่ เราหาจังหวะถามอยู่ แต่ไม่มีโอกาสสักที เพราะช่วงนี้ที่วัดกำลังเตรียมงานวันเสาร์ ทุกคนยุ่งมาก ไม่ว่างเลย เพื่อนๆอดใจรอสักนิดนะคะ อยากรู้อะไรดีๆต้องใจเย็นๆค่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะคะ รู้อะไรมากๆ เดี๋ยวจะเครียดค่ะ (ฮ่าๆๆ)
อยากไปปฎิบัติธรรมซัก 7 วัน แต่ไม่มีโอกาสเลย อิจฉามากๆ คะ อยากเจอหลวงพ่อจรัญด้วยคะ คนมีกรรม
หลวงพ่อเจริญ วัดป่ามะม่วง ใช่หลวงพ่อจรัญ หรือไม่ครับ
ถูกต้องแล้วครับ...
แล้วหลวงพ่อวีระนนท์ก็เป็นหนึ่งในตัวละครเรื่องนี้ด้วยค่ะ
ถ้าอยากรู้ว่าเป็นใคร เข้าไปทำบุญที่วัดป่าบ่อยๆก็รู้เองค่ะ อิ อิ
คุณแพรครับ ผมอยากรู้จริงๆว่า หลวงพ่อวีระนนทร์คือ สามเณรทองดี ที่ได้ญาณ 16 ก่อนหลวงพ่อเจริญ หรือป่าวครับ ในเรื่องมักกะลีผล อยากทราบเพื่อประดับศรัทธาอะครับ
อยากไปถือศีลที่นี้บ้างเพราะหัดนั่งสมาธิที่บ้านมานานแล้วไปไม่ถึงสักที