ผมเป็นคนกิเลสหนา เข้าถึงธรรมยาก ปฏิบัติธรรมอย่างที่เขาทำๆ กันไม่ได้ นั่งหลับตาทำสมาธิทีไรสมองหลับ (คือหลับจริงๆ) ทุกที ตอนแรกก็คิดว่าตัวเราคงจะผิดปกติ คงจะเข้าถึงธรรมไม่ได้
ตอนหลังค่อยๆ เข้าใจขึ้น ว่าการเข้าถึงธรรมมีหลายทาง ทางหนึ่งคือการทำสมาธิแบบเคลื่อนไหว (แนวหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ และแนวการเดินจงกรม) ผมฝึกทำสมาธิแนวนี้พอจะได้
เมื่อเกือบ ๒ ปีที่แล้ว ไปเรียนรู้ธรรมะแนวทางฉือจี้ที่ไต้หวัน รู้สึกว่าถูกจริต เพราะเน้นเมตตาธรรม เน้นเมตตากรุณา เน้นการทำประโยชน์ช่วยเหลือผู้อื่นเพื่อลดกิเลสของตน เคารพและขอบคุณผู้ที่เราช่วยเหลือ “เพราะเขาต้องมีความทุกข์ เราจึงมีโอกาสช่วยเหลือเพื่อปฏิบัติธรรม” อ่านบันทึกเรื่องสำนักพุทธฉือจี้ได้ที่ http://gotoknow.org/blog/thaikm/tag/ฉือจี้
ผมรู้สึกว่าเวลาใช้เมตตาธรรมนั้น เราใช้ทั้งชุดของพรหมวิหารธรรม แต่ตัวไหนมาก่อนแล้วแต่กรณี บางครั้งใช้อุเบกขา (วางเฉย) นำ แล้วจึงมีโอกาสได้พิจารณาเรื่องราว และใช้เมตตากรุณาได้อย่างถูกต้องตามกรณี หรือตามบริบท
บางครั้ง เมตตากรุณา หรือพรหมวิหารธรรมไม่ใช่ตัวนำ แต่กลับเป็น ทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอภัยทาน เพราะในชีวิตของคนแบบผมมีการกระทบกระทั่งกับผู้คนง่ายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทบกระทั่งกันในด้านความคิด หรือคำพูดที่พลั้งเผลอ การให้อภัยกันจึงเป็นธรรมะประจำวันสำหรับผม ที่จริงคนเป็นพ่อแม่โชคดี ที่มีโอกาสฝึกธรรมะข้อนี้บ่อย หรือใช้ในชีวิตประจำวันของครอบครัวเลยทีเดียว
เมตตาธรรม สำคัญที่ “ทำ” หรือปฏิบัตินะครับ ไม่ใช่สำคัญที่ธรรม เพราะธรรมอย่างไรเสียก็สำคัญอยู่แล้ว แต่ “ทำ” นี่แหละเผลอทำผิดอยู่เรื่อย
วิจารณ์ พานิช
๑๗ เม.ย. ๕๑
ไม่มีความเห็น