ผมได้มีโอกาสคุยกับน้องอาจารย์กิจกรรมบำบัดและกายภาพบำบัด มีเพียงอาจารย์ 3 ท่านที่จบโทกายวิภาคศาสตร์ นอกนั้นจบโทอื่นๆ เช่น กิจกรรมบำบัด จิตวิทยาคลินิก จิตวิทยาการศึกษา
บรรยากาศของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ค่อนข้างดีครับ มีหลายประเด็นที่น่าบันทึกไว้ ได้แก่
สิ่งหนึ่งที่ผมอยากบันทึกไว้ คือ ก่อนไปเรียน PhD ผมได้เรียนรู้วิชากายวิภาคศาสตร์ทำให้เข้าใจกระบวนการฝึกสอนนักศึกษาและทบทวนความรู้ที่นอกเหนือจากวิชาเฉพาะทางที่เรียนมา แต่ปัจจุบันหลังจบ PhD ผมต้องไปคุม Lab นี้ด้วยความมุ่งมั่นที่อยากจะสร้าง Educational Research ทาง KM ว่านักศึกษากายภาพบำบัดและกิจกรรมบำบัดจะเข้าใจวิชากายวิภาคศาสตร์ด้วยกระบวนการคิดและเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างไร ถึงจะนำความรู้ไปต่อยอดกับวิชาอื่นๆ ทางคลินิกในลำดับต่อไป และอาจารย์ผู้สอนสามารถปรับภาระงานให้มีความสมดุลย์ระหว่างการสอนและการทำภาระงานอื่นๆ อย่างมีความสุขและเหมาะสม
ในฐานะประธานสาขาวิชากิจกรรมบำบัด ผมยอมไปคุม Lab เพื่อสร้างกำลังใจให้น้องๆอาจารย์กิจกรรมบำบัดได้พัฒนาตนเองในมิติการสอนที่ตนเองไม่ได้เชี่ยวชาญและในมิติของการแสดงบทบาทที่ชัดเจนของ Facilitator หรือ Coach ในแบบ Teacher Assistant จะได้เข้าใจนักศึกษาว่าเมื่อผ่านวิชาปรีคลินิกนี้แล้วอาจารย์ต้องเปลี่ยนบทบาทมาสอนในตัววิชาชีพหรือคลินิกได้เชื่อมโยงกันอย่างไรบ้าง และผมกำลังคิดผลกระทบต่อการพัฒนาสาขาวิชาคือ เมื่อลงแรงและเวลาไปคุม Lab ผมขาดโอกาสและเวลาที่ต้องทุ่มเทในการใช้ความรู้ทาง PhD มาขยายงานของสาขาวิชาในรูปแบบการวิจัย การเตรียมกระบวนการสอน การจัดหาเครื่องมือการเรียนการสอน การเขียนตำราประกอบการสอน การพัฒนาอาจารย์เพื่อให้มีคุณภาพต่อการบริหารหลักสูตร การสร้างเครือข่ายศึกษาวิจัยกับหน่วยงานนอกคณะฯ (ซึ่งเป็นการปูทางขยายตำแหน่งงานให้รองรับนักศึกษาในอนาคต) และการบริการวิชาการแบบเชิงรุกให้สังคมรับรู้บทบาทวิชาชีพมากขึ้น
ผมยังคงคิดไม่ออกว่า ควรทำตัวอย่างไรเพื่อให้หน่วยงานรับทราบถึงกระบวนการจัดภาระงานให้เหมาะสมกับพื้นฐานความสามารถของอาจารย์มหาวิทยาลัย มิฉะนั้นผมเริ่มจะเห็นด้วยกับคำว่า "ภาวะถดถอยของอาจารย์ PhD ในระบบราชการ" หรือ "ภาวะเปลี่ยนงานหรือสมองไหลของอาจารย์ PhD จากระบบราชการไปสู่ระบบอื่นๆ หรืออาชีพอื่นๆ ที่ดีกว่า"
เป็นบทความที่ตรงใจมากเลยค่ะ
และเนื่องจากดิฉันจบ กิจกรรมบำบัด และกายวิภาคศาสตร์มาเหมือนกัน
พอมาเจอบทความดีดีและน่าสนใจจึงอยากจะเล่าประสบการณ์บางส่วนที่เคยได้รับจากรุ่นพี่ที่จบกายวิภาคศาสตร์มาเหมือนกันว่า
รู้จักกับรุ่นพี่บางคนที่จบโทกายวิภาคศาสตร์ด้วยกัน
พอไปทำงานจริงๆ แล้วปรากฏว่า
ไม่ได้ทำเพียงแต่การสอนในวิชาชีพที่ตนจบมา (กายวิภาคศาสตร์) เพียงอย่างเดียว
แต่ต้องไปการสอนวิชาอื่นๆ ที่ตนเองไม่มีประสบการณ์ และความรู้ที่เพียงพอ
(ประมาณว่าพอรับอาจารย์เพิ่มแล้วก็ให้ทำทุกอย่างแบบ over all เลยทีเดียว)
ฉะนั้นในวิชาที่ผู้สอนไม่มีความรู้และความเชียวชาญเพีิยงพอ
จะทำให้การเรียนการสอนต่างๆ ติดขัด ทั้งทางด้านการสอน และการเรียนรู้ของนักศึกษา
ที่จะได้รับความรู้ไม่เพียงพอ หรือไม่รู้จริงในหัวข้อ หรือวิชาที่อาจารย์ผู้สอนไม่มีความรู้ หรือไม่ได้จบทางด้านนั้นมาโดยเฉพาะ
แต่ทางมหาวิทยาลัยต้องการประหยัดงบประมาณในการจ้างอาจารย์ที่จบวิชาชีพเหล่านั้นมาโดยตรง จึงต้องให้คนที่จบวิชากายวิภาคศาสตร์ไปสอนทั้ง สรีระวิทยา พยาธิวิทยา เป็นต้น
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วนั้นนี่คือประสบการณ์ของรุ่นพี่ที่จบแล้ว และออกไปทำงานจริง
ดังนั้นเมื่อเหตุการณ์เช่นนี้ก็จะทำให้ผู้ที่ทำงานไม่มีความสุขกับการทำงาน และเกิดภาวะสมองไหลอย่างที่อาจารย์ได้กล่าวไปแล้วค่ะ
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณบทความและ้ข้อคิดดีๆ เกี่ยวกับระบบการศึกษาไทยด้วยค่ะ
ขอบคุณสำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครับคุณศิรินันท์
ขอให้อดทนและปรับชีวิตการทำหน้าที่อาจารย์อย่างมีความสุขครับ