วันจันทร์ที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๐ อาบน้ำที่โรงแรมสากลโฮเตล แม้จะเล็กๆแต่สะอาดดี ลงมาทานมื้อเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม ผมประชุมทีมงานที่ไปศึกษาดูงานครั้งนี้เพื่อซักซ้อมความเข้าใจและมอบหมายภารกิจเพราะเราไปในโครงการผู้นำการเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับการกระจายอำนาจ จึงนำรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา หัวหน้ากลุ่ม และผู้อำนวยการโรงเรียน ๔ ท่าน คือ โรงเรียนอนุบาลชุมพร โรงเรียนสอาดเผดิมวิทยา โรงเรียนปากน้ำชุมพรวิทยา และโรงเรียนชุมชนมาบอำมฤต รวมทั้งคณะ ๒๖ คน เราเปลี่ยนรถเป็นของมาเลเซียเดินทางเข้าประเทศ เป็นรถปรับอากาศแบบธรรมดาแต่นั่งสบายกว่ารถสองชั้นบ้านเราเพราะเก้าอี้ตัวใหญ่ นั่งสบาย ไม่ปวดหลัง รถเข้าประเทศมาเลเซียที่ด่านจังโหลน ผ่านด่านไทยให้เขาตรวจเอกสาร พาสปอร์ตประทับตราหนังสือเดินทางออกนอกประเทศ เมื่อผ่านด่านของมาเลเซียพวกเราต้องลากกระเป๋าสัมภาระให้เขาตรวจ ประทับตราหนังสือเดินทางเข้าประเทศมาเลเซีย เลยด่านมาหน่อยรถจอดที่ร้านอาหารเพื่อให้พวกเราแลกเงินบาทเป็นเงินริงกิต อัตราแลกเปลี่ยน ๑ ริงกิตเท่ากับเงินไทย ๙ บาทกว่าๆ หรือหากคิดแบบหยาบๆก็ประมาณ ๑๐ บาท ขณะที่เงินสิงคโปร์ ๑ เหรียญตก ๒๓ บาท ผมเดินสำรวจอาหารการกินมีทั้งโรตีที่สาวชาวปัตตานีมาทอดขายแผ่นละ ๑๐ บาท ร้านข้าวแกงประเภทมัสมั่น แกงส้ม ปลาเค็มทอด เห็นแล้วก็อยากลองทานดู แต่เพิ่งทานมาจากโรงแรมจึงยั้งไว้ก่อน สภาพสองข้างทางก็คล้ายของไทยเรา มีทุ่งนา มีสวนยางสลับกันไป บ้านเรือนมีทั้งบ้านเดี่ยวและเป็นหมู่บ้านจัดสรรที่หลังคาสีเดียวกัน คุณสิริไกด์ชาวมาเลเซียเล่าให้ฟังว่า ประชาชนในเส้นทางจังโหลนจนไปถึงบัตเตอร์เวอร์ธเป็นชาวสยาม ซึ่งเป็นประชาชนชั้น ๑ ของมาเลเซีย เพราะเดิมดินแดนเหล่านี้เป็นของไทย จึงมีคนไทยสยามมาตั้งรกรากเป็นการถาวรและเมื่อเสียดินแดนให้กับมหาอำนาจอังกฤษ ก็คงตกค้างอยู่ในดินแดนเหล่านี้ จวบจนมาเลเซียได้รับเอกราชจึงได้รับฐานะเป็นพลเมืองชั้น ๑ มีสิทธิ์ซื้อที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ทั้งหลายในประเทศมาเลเซีย นายกรัฐมนตรีคนแรกคือ ตนกูอับดุลรามานห์ ก็มีมารดาเป็นชาวสยาม ชื่อแม่เนื่อง และท่านก็มาเรียนหนังสือที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ฟังไกด์เล่าให้ฟังได้ความรู้ดี เป็นที่น่าสังเกตว่าทางด่วนของมาเลเซียนั้นมีรั้วกั้นทั้งสองด้าน เพื่อกันสัตว์เลี้ยงเข้ามากีดขวางการจราจร และมีการปลูกไม้สักที่กำลังโต ไกด์เล่าว่าเป็นโครงการที่นายกรัฐมนตรี ดร.มหาเธห์ ดำริให้ปลูกตลอดทางด่วนตั้งแต่รัฐเหนือจรดรัฐใต้ ถึงบัตเตอร์เวอร์ธเที่ยงจึงแวะไปทานอาหารจีนในตัวเมืองเป็นอาหารที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะจัดได้แต่รสชาติสู้อาหารจีนบ้านเราไม่ได้ ขึ้นสะพานข้ามทะเลไปเกาะปีนัง ทำนองเดียวกับสะพานสารสินที่ภูเก็ต แต่มีความยาวหลายกิโลเมตร เกาะปีนังหรือเกาะหมากมีเนื้อที่ประมาณ ๒๘๕ ตารางกิโลเมตร อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของแหลมมาลายู ได้ชื่อว่าเป็น"ไข่มุกตะวันออก" (Pearl of the Orient) เป็นเมืองอาณานิคมเก่าแก่ที่สุดของอังกฤษในมาเลเซีย วัดไทยชัยมังคลาราม เป็นจุดแรกที่พวกเราได้ไปนมัสการพระพุทธไสยาสน์ความยาว ๓๒ เมตรเพื่อความเป็นสิริมงคล และตรงข้ามก็เป็นวัดพม่ามีสถาปัตยกรรมแบบพม่าที่สวยงาม เห็นมีจตุคามรามเทพวางให้เช่าที่หน้าวัดด้วย เลยเอาของตัวเองรุ่นทองพูนเพิ่มทรัพย์มาแขวนอวดเป็นที่ฮือฮากันใหญ่ในหมู่นักเลงพระปีนัง จุดดูงานการศึกษาจุดแรกคือ KDU College Penang Campus พิกกี้ ผู้อำนวยการวิทยาเขตลงมากล่าวต้อนรับและแนะนำวิทยาลัย ผมขอบคุณและมอบของที่ระลึก เราพูดคุยถูกอัธยาศัย เพราะภาษาอังกฤษสำเนียงมาเลเซีย ฟังง่าย ผมก็พูดอังกฤษสำเนียงไทยที่เขาฟังเข้าใจ เธอจึงพาชมห้องปฏิบัติการต่างๆจากชั้นล่างไปจนถึงชั้นบนสุด เข้าห้องสมุดจนไปถึงห้องครัว วิทยาลัยแห่งนี้มีเครือข่ายหลายประเทศ ผู้เรียนสามารถไปรับประกาศนียบัตรในต่างประเทศได้ด้วย นักศึกษามาจากหลายประเทศ รวมทั้งไทย แต่วันนี้ไม่เจอนักศึกษาไทย ศึกษาดูงานจนเย็นจึงไปชมวิวกันบนยอดเขา Penang Hill ยอดเขาสูง ๘๓๐ เมตร การเดินทางใช้รถรางทั้งขึ้นทั้งลง แต่ต้องเปลี่ยนรถกลางทาง บนยอดเขามีร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหาร ผมทานไอศกรีม ๑ ถ้วยก่อนลง อาหารเย็นเป็นร้าน Sea Food อิ่มหนำสำราญแล้วเดินทางไปพักที่โรงแรม Cititel Malaysia กลางคืนนั่งแท็กซี่ไปห้างสรรพสินค้าใช้เวลาเดินในห้าง ๑ ชั่วโมงก็กลับที่พักเพราะห้างปิด เวลาในมาเลเซีย - สิงคโปร์ เร็วกว่าไทย ๑ ชั่วโมง
วันอังคารที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๐
ทานอาหารเช้าที่โรงแรม
ขนกระเป๋าเสื้อผ้าใส่รถตามเวลาที่นัดหมาย เวลา ๐๘.๐๐
น.รถออกจากหน้าโรงแรมวนตามถนนด้านหน้าเกาะปีนัง
เพื่อดูภูมิประเทศ ข้ามสะพานไปเข้าทางด่วนลงใต้ไปเรื่อยๆ
สองข้างทางเป็นป่าสมบูรณ์ตลอด นานๆจึงจะมีหมู่บ้าน
เป็นบ้านจัดสรรออกแบบเป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียวและอาคารทาวน์เฮ้าเป็นส่วนใหญ่
จุดจอดรถและปั้มน้ำมันมีเป็นระยะๆ น้ำมันราคาถูกกว่าบ้านเรามาก
การเติมต้องบริการตัวเอง
ขั้นตอนต้องเข้าไปในออฟฟิศจ่ายเงินตามจำนวนที่ต้องการเติม
รับบัตรแล้วไปยังหัวจ่ายน้ำมันที่กำหนด
คอมพิวเตอร์จะควบคุมการจ่ายน้ำมันให้พอดีกับเงินที่จ่ายไว้
ถึงกัวลาลัมเปอร์เลยเที่ยงไป ๒
ชั่วโมงแวะทานข้าวนอกเมืองเป็นร้านอาหารจีน
เมนูคล้ายกับที่เคยทานที่ปีนัง ดิ่งลงใต้ประมาณ ๒๕
กม.แวะปุตราจายา เมืองหลวงใหม่ของมาเลเซียที่ได้ย้ายกระทรวง ทบวง
กรมมาไว้ที่นี่แบบครบวงจร ทำเนียบรัฐบาลรูปโดมสีเขียวดูเด่นเป็นสง่า
รถพาพวกเราขับตรง
เข้าไปผ่านตึกที่ทำการกระทรวงต่างๆจนสุดถนนที่ศูนย์ประชุมนานาชาติ
เลี้ยวรถกลับไปอีกฟากหนึ่งของถนน ผ่านอาคารที่ทำการต่าง ๆ
จนไปถึงลานกว้างหน้าทำเนียบ ลงไปชั้นใต้ดิน ลองดื่มกาแฟสดของมาเลย์
การมาศูนย์ราชการปุตราจายา
ทำให้เห็นว่าบ้านเมืองเขาสร้างโดยคำนึงถึงคนรุ่นหน้าและหน้าตาของประเทศ
ไกด์บอกว่าอดีตนายกรัฐมนตรี ดร.มหาเธห์
เจ็บใจที่ชาวตะวันตกดูถูกดูหมิ่นคนเอเชียว่าเป็นชาวป่าชาวดง
อาศัยในป่าในถ้ำ ท่านมีปณิธานว่าจะสร้างอะไรก็ให้ติดอับดับโลก
มาเลเซียคือตัวแทนแห่งชาวเอเชีย
การพัฒนาประเทศจึงมุ่งสู่สากลในอันดับต้นของประชาคมโลก
เดินทางลงใต้ไปยะโฮบาห์รูซึ่งเป็นชายแดนมาเลเซีย-สิงคโปร์
คืนนี้นอนชายแดนเมืองยะโฮห์ชื่อโรงแรมนิวยอร์ก เป็นโรงแรมใหญ่
ห้องพักกว้างขวางเหมือนโรงแรมขนาดใหญ่ในเมืองไทย
กลางคืนไม่ได้ออกไปไหนเพราะเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวัน
วันพุธที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๐ ทานข้าวเช้าที่โรงแรม
เขาไม่ได้แจกคูปองเหมือนบ้านเรา
เพียงแต่บอกหมายเลขห้องพักก็เข้าไปเลือกหารับประทานได้แล้ว
อาหารก็มีหลากหลายทั้งพื้นเมือง จีนและฝรั่ง
ออกกเดินทางเข้าสิงคโปร์ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองให้เขาตรวจเอกสารและสัมภาระทุกชิ้นประทับตราหนังสือเดินทางเป็นอันว่าสามารถเข้าเมืองได้
เกาะสิงคโปร์วันนี้เต็มไปด้วยป่าไม้ตลอดเส้นทาง
ส่วนไหนที่เขาสามารถปลูกต้นไม้ได้ก็ไม่เคยละเว้น จุดดูงานวันนี้คือ
Singapore Science Centre
เป็นจุดแสดงนิทรรศการทางวิทยาศาสตร์ทุกสาขาทั้ง Physice , Chemistry
และ Biology
ที่โดดเด่นน่าจะเป็นห้องทดลองที่เปิดโอกาสให้โรงเรียนจองให้นักเรียนมาทดลอง
ทำให้คิดถึงโรงเรียนขนาดเล็กของเราหากเรามีศูนย์ทำนองนี้ในจุดที่เหมาะสมก็สามารถเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับโรงเรียนหลายๆโรงก็คุ้มค่าการลงทุน
มีร้านกาแฟสดแจ็คกี้ หัวหน้าทัวร์ชวนไปดื่มกัน ผมชวนคุณไอศูรย์
ภาษยะวรรณ์ ไปร่วมวงสนทนากันด้วย
ออกจากศูนย์วิทยาศาสตร์ไปถ่ายภาพสัญลักษณ์เมืองสิงคโปร์ คือ The
Merlion
จับภาพกันพอสมควรก็ได้เวลาอาหารเที่ยงและเป็นมื้อแรกในสิงคโปร์ก็เป็นอาหารจีนรสเลี่ยนๆอีกตามเคย
แต่ความเหนื่อยทำให้เจริญอาหารมากขึ้น
อิ่มแล้วไปเยี่ยมชมแหล่งสินค้าคนไทยเพื่อแลกเงินสิงคโปร์เพิ่มเติม
ร้านค้าย่านนี้เป็นร้านของคนไทยทุกภูมิภาค สินค้าก็ส่งมาจากเมืองไทย
ทั้งของกินของใช้
แม้แต่แผ่นซีดีเพลงไทยก็มีวางจำหน่ายมากมายตามร้านย่านนี้
การจราจรในสิงคโปร์จะเป็นการเดินรถทางเดียว ฉะนั้น
หากเข้าผิดทางต้องวนไปไกลจึงจะย้อนมาใหม่ได้
บ่ายๆนั่งรถไฟฟ้าไปเกาะ Sentosa สวนสนุกของสิงคโปร์ ไปชม
Under Water หากเทียบกับบ้านเราก็คือพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ
ของมหาวิทยาลัยบูรพา ผิดกันตรงทางเดินของเขาแบบสายพานเลื่อนได้
แต่ใครอยากเดินเองก็มีทางให้เดินเหมือนกัน
เย็นไปนั่งดูการแสดง The Song of the Sea เหมือนรีวิวประกอบเพลง
ผสมแสงสีแสง และม่านน้ำ เวลาประมาณ ๒
ทุ่มก็ขึ้นรถกลับเพื่อเข้าพักที่โรงแรม Frangrance Hotel
ห้องโรงแรมแห่งนี้มีขนาดเล็กพอจะพักอาศัยได้
แต่ราคาแพงกว่าในมาเลเซียสองเท่าตัว
คุณครูจากโรงเรียนสอาดเผดิมวิทยาโทรศัพท์มาบอกว่าเกิดแผ่นดินไหวที่ประเทศอินโดนีเซีย
โทรทัศน์ออกข่าวเตือนให้ระวังคลื่นยักษ์สึนามิ
เปิดทีวีในห้องพักดูก็มีการเสนอข่าวนี้อย่างต่อเนื่อง
จึงขอเปลี่ยนห้องพักจากชั้นที่ ๓ ของโรงแรมขึ้นไปชั้นที่ ๘
เพราะคิดว่าเผื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริงอาจมีโอกาสรอด
เพราะเกาะสิงคโปร์ขนาดเล็กและเป็นพื้นราบ
หากเกิดสึนามิก็ไม่มีอะไรเหลือ
หลับจนเช้าก็ไม่มีเหตุการณ์ร้ายใดๆ
ดูข่าวทีวีต่างก็ยืนยันว่าไม่มีสึนามิ
วันพฤหัสบดีที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๐
ตื่นเช้าเก็บสัมภาระขึ้นรถ เนื่องจาก Frangrance Hotel
ไม่มีอาหารเลี้ยง แขกที่มาพักต้องไปทานที่อื่น
รถพาพวกเราไปร้านข้าวต้มแห่งหนึ่ง
จัดร้านได้ดีมากมีสวนป่าเล็กๆอยู่ลานจอดรถ อาหารเช้ามีข้าวต้ม ขนมปัง
และกาแฟ
และอาหารพวกติ่มซำอิ่มแล้วไปแวะห้างของชาวอินเดียชื่อมุสตาฟาในห้างมีสินค้าหลายประเภทคล้ายห้างแถวพาหุรัด
ความจริงอยากดูบรรยากาศในห้างใหญ่กว่านี้แต่เปิดประมาณ ๑๐ โมงเช้า
สายเกินไป
รถพาไปแวะร้านดิวตี้ฟีได้จับจ่ายใช้สอยกันบ้างดูสนุกขึ้น
ผมเองซื้อได้แต่ที่ตัดเล็บที่ระลึก ๓ อัน เวลา ๑๑.๐๐
น.ออกเดินทางจากสิงคโปร์มุ่งหน้ากัวลาลัมเปอร์
กินข้าวกลางวันเกือบบ่ายสองโมงที่ร้านเดิมในยะโฮร์บารู รถวิ่งความเร็ว
๘๐ กม./ชั่วโมง กว่าจะถึงชานเมือง KL ก็เย็นมากแล้ว รถก็ติดมาก
ถึงหน้าวังบรรยากาศโพล้เพล้เต็มที แต่พวกเราก็ลงถ่ายภาพเป็นที่ระลึก
จุดต่อไปคือเสาธง Merdeka Square มีเสาธงสูง ๙๕ เมตร
เป็นสัญลักษณ์ของจตุรัสเมอเดก้าแห่งนี้
เสาธงนี้ได้ชื่อว่าเป็นเสาธงที่สูงที่สุดในโลก
ชาวมาเลเซียถือว่าเป็นเสาธงแห่งประวัติศาสตร์เพราะธงยูเนี่ยนแจ็กของอังกฤษถูกลดลงจากเสา
และธงชาติมาเลเซียถูกเชิญขึ้นเสาเป็นครั้งแรก
ฝั่งตรงข้ามกับสนามเป็นอาคารสุลต่านอับดุลซามัตและหอนาฬิกาสูง ๔๐ เมตร
เป็นสถาปัตยกรรมแบบมัวร์ (Moorish) หอนาฬิกาเรียกว่าบิ๊กเบน
ด้านบนเป็นโดมสีทองขนาดใหญ่
อาคารนี้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นศูนย์บริหารอาณานิคมของอังกฤษ
ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของกระทรวงวัฒนธรรม
เนื่องจากมาเลเซียเพิ่งฉลองวันชาติไปเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ที่ผ่านมา
อาคารต่างๆจึงประดับไฟและธงทิวสวยงาม ไปทานอาหารที่ชั้น
๑๗ ของโรงแรมเป็นอาหารจีน อิ่มแล้ว
เดินทางไปชมมหัศจรรย์ของโลกคือตึก Petronus
ทำด้วยสแตนเลสทั้งสองหลัง ความสูงเกือบ ๕๐๐ เมตร
เมื่อเจอแสงไฟยามค่ำคืน ตัวอาคารจะมองเป็นสีขาวโพลน
เหมือนนำแท่งเงินขนาดยักษ์มาวางไว้ ดูไปก็ไม่เบื่อ
สำหรับในตัวอาคารมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่
ผมเดินชมกิจการร่วม ๑ ชั่วโมงต้องยอมรับว่าเขายิ่งใหญ่จริงๆ
พาสปอร์ตสามารถไปแลกบัตรส่วนลดได้ร้อยละ ๑๐
ออกจากกัวลาลัมเปอร์ประมาณ ๔ ทุ่มเพื่อไปค้างคืนที่ยอดเขาสูงเก็นติ้ง
ไฮแลนด์ ซึ่งอยู่เลยไปประมาณ ๕๐ กม.
อยู่บนเขาสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ ๒๐๐๐ เมตร
รถพยายามไปทางลัดเพื่อให้ทันกระเช้าไฟฟ้าที่จะปิดประมาณ ๕ ทุ่ม
เมื่อไปถึงเขาปิดแล้ว
เหลือแต่กระเช้ารุ่นเก่าที่สามารถโดยสารได้ประมาณ ๓๐ คนพร้อมสัมภาระ
ใช้เวลาประมาณ ๓๐ นาทีก็ถึง เก็นติ้งตั้งอยู่สูงอากาศจึงหนาวมาก
อากาศบางเบา ภายในมีแหล่งบันเทิงครบครันทั้งคาสิโนขนาดใหญ่ โรงภาพยนต์
เวทีคอนเสิร์ต สนามกอล์ฟ ห้างสรรพสินค้า และร้านอาหาร
ห้องพักก็ไม่ต้องติดเครื่องปรับอากาศ เปิดหน้าต่างนิดหน่อยก็หนาวแล้ว
ก้อนเมฆลอยอยู่ต่ำกว่าเราด้วยซ้ำ
ผมเหนื่อยเต็มทีร่างกายต้องปรับตัวให้เข้ากับอากาศหนาวจึงนอนพักผ่อนไม่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตาอย่างที่ตั้งใจ
วันศุกร์ที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๐
ตื่นเช้าขึ้นมาดูทิวทัศน์ทะเลเมฆ
อาบน้ำแต่งตัวไปทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารมีคูปองให้ทุกห้องพัก
อาหารมีหลากหลายต้องยอมรับว่าวันนี้อาหารอร่อย
เดินชมร้านขายของที่ระลึกที่จะแบ่งร้านเป็นประเทศต่างในเอเชียครบถ้วน
ราคาไม่แพงเพราะปลอดภาษี
ขากลับกำหนดการเดิมจะลงกระเช้ารุ่นใหม่กลับกันแต่พอจะซื้อตั๋วเขาบอกว่ากระเช้าไม่มีเพราะกำลังซ่อม
จึงรอรถที่จะขึ้นมารับถึงยอดเขา ถือโอกาสเก็บภาพเป็นที่ระลึก
รถรับพวกเราลงจากเก็นติ้ง เดินทา
งกลับประเทศไทยมากินข้าวเที่ยงประมาณบ่ายสองโมงที่เมืองลิโปห์
และเดินทางกลับไทยถึงหาดใหญ่ประมาณ ๒ ทุ่ม
รับประทานอาหารเย็นที่นี่
ได้พาทีมงานเปิดหูเปิดตาให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของประเทศเพื่อนบ้าน
เพื่อจุดประกายความคิดในการพัฒนาคน พัฒนางานและพัฒนาชาติต่อไป
วันเสาร์ที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๐ ประมาณตี ๒
รถตู้สำนักงานมารอรับที่จุดนัดหมาย ไปถึงโรงแรมไดมอนด์พลาซ่า
สุราษฎร์ธานี ได้นอนประมาณ ๓ ชั่วโมง
รีบตื่นอาบน้ำแต่งตัวลงไปที่ห้องอาหาร ศาสตราจารย์
ดร.วิจิตร ศรีสะอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
และคุณวิทยา ศักดา
ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต ๒
ทานอาหารรออยู่แล้ว ผมเข้าสมทบนั่งคุยกับท่านรัฐมนตรี
ท่านเล่าเรื่องการทำงานให้ฟังหลายๆเรื่อง
บางเรื่องก็ยุ่งยากแต่ก็ทำสำเร็จ เช่น เรื่องเงินวิทยฐานะ
วันนี้ท่านมาเปิดนิทรรศการและตลาดการเรียนรู้ในการจัดการศึกษาในโรงเรียนขนาดเล็ก
ซึ่ง สพท.สุราษฎร์ธานี เขต ๒ เป็นเจ้าภาพ
ผมร่วมพิธีเปิดและชมนิทรรศการ แล้วเดินทางกลับชุมพร
กำจัด คงหนู
ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชุมพร เขต ๑
ดีครับเพราะทำให้คนที่ไม่ได่เดินทางไปได้มีความรู้ซึ่งถือว่ามากในระดับหนึ่ง ผมคิดว่าท่านคงจะนำของประเทศอื่นมาเล่าสู่กันฟังอีกนะครับ
อยากทราบว่าที่ปีนังมีโรงเรียนหญิงล้วนมั๊ยคะ มีเพื่อนบอกว่าส่งลูกไปเรียนที่นั่น ดีมาก แต่เราต้องไปดูแลบ่อยๆ จะจริงมั๊ยคะ หรือไม่แตกต่างจากบ้านเราเมืองเรา