วันนี้เก็บข้าวของ เช็คเอาท์แต่เช้ามืด ออกเดินทางมาที่เมืองกาหลั่นป้า หรือเมืองฮำ ไม่กี่ชั่วโมงก็มาถึงวัดใหม่สุทธาวาส ที่เราจะมาถวายผ้าป่า มีชาวบ้านไทลื้อมาร่วมทำบุญด้วย เลยได้เห็นว่าคนเฒ่าคนแก่ที่เป็นไทลื้อนี่หน้าตาแยกไม่ออกเลยกับคนเหนือบ้านเรา ฟังคำเมืองพอออกด้วย
หลวงพ่อเป็นคนไทย เวลาสวดสวดเหมือนพระไทยสวดนี่แหละ แต่ arrange ไม่เหมือนกัน ถวายผ้าป่าเสร็จหลวงพ่อแจกประคำไม้จันทน์คนสะเส้น เอาไว้ใส่ข้อมือ
จากนั้นเดินทางมาโรงพยาบาลซึ่งอยู่ห่างออกมาแค่ไมกี่กิโล ที่ รพ.เค้าขึ้นป้ายต้อนรับพวกเราไว้แล้ว จากนั้นจัดแจงเตรียมสถานที่ออกหน่วยแพทย์ฯ ก็เริ่มส่อแววปัญหาทันที...
- - - - - - -
มาเขียนต่อ
อันที่จริงพอทราบมาก่อนแล้วว่า ทางจีนไม่อนุญาตให้แพทย์ไทยจ่ายยาให้คนไข้จีน ดังนั้นทางผู้ใหญ่ของเรา (อ.ณรงค์ชัย) ก็เลยสั่งโตว่า ไม่ต้องขนยาไปเลย เอาแต่เครื่องมือตรวจร่างกาย + ชุดเจาะเลือดหาน้ำตาล BUN creatinine etc. ไปก็พอ เคยถาม อ.ณรงค์ชัยเหมือนกัน แกบอกว่าก็ตรวจไปอย่างเดียว ไม่มียาจ่าย แถม ophthalmoscope ก็ทรยศใช้ไม่ได้ขึ้นมาอีก
ตอนแรกก็คิดคล้อยตามแกไปว่า คงไม่มีปัญหาอะไร แต่เอาเข้าจริงลำพังคนไทยพูดภาษาเดียวกัน จะกล่อมให้รักษาสุขภาพ ไม่ต้องใช้ยาก็ยากอยู่แล้ว นี่คนละภาษา จะอธิบายต้องผ่านล่าม (ซึ่งมีแค่ 3 คน แต่หมอตั้งโต๊ะตรวจ 6 โต๊ะ) ยิ่งหนักใจเข้าไปใหญ่
ที่ตอนแรกเกริ่นว่าส่อแววมีปัญหา เพราะได้ยินล่ามแปล chief complaint ของคนไข้คนนึงตอนทำบัตรว่า ปวดหัว ปวดหลัง ปวดท้องด้วย ฟังแค่นี้ใคร ๆ ที่เคยออกหน่วยแพทย์จะทราบทันทีว่า มาขอยาไปตุนไว้ จึงบอกอาการต่าง ๆ ให้ครบทุกระบบซะเลย (อาจจะมีอาการจริง ๆ ทุกระบบ แต่โรคไม่ active แล้วก็ได้) พอได้ยินยังงั้นก็ได้แต่นึกว่า คุณป้า หมอไม่มียามาเลยนะ มีแต่หมอนวด (กายภาพบำบัด) หมอไท้เก๊ก จะเอามั้ย
เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเหมือนซามูไรไร้ดาบ ไม่รู้จะทำไง ได้แต่บอกคนไข้ทุกคนว่า ปฏิบัติตัวอย่างไร ไม่ต้องกินยานะ เดี๋ยวหายเอง อยาก ultrasound มั้ย มีเอามาด้วย (ส่งให้ อ.ณรงค์ชัยทำ) หรืออยากนวดก็ได้นะ หมอจะเขียนในใบสั่งยาให้
อาศัยลูกเล่นว่า พูดเยอะ ๆ ให้สุขศึกษาเยอะ ๆ -- แต่ล่ามเบื่อ พูดเยอะจัง ขี้เกียจแปล ก็ล่ามกิตติมศักดิ์ทั้งนั้นนี่ อ.เฉินเอย ไกด์จีนเอย (อาเฟย โอวหยัง น้องก้อย) -- คนไข้ก็ค่อนข้างพอใจ เห็นหมออธิบายโรคละเอียดเลยชอบใจมั้ง ตอนกลับเรายก lab kits ที่เหลือให้ห้อง lab เค้าไว้ด้วย ดูเค้า happy ขึ้นมาทันที
จากนั้นกินอาหารกลางวันในเมืองฮำเลย แล้วเดินทางต่อเข้าเมืองหล้า ระหว่างทางแวะร้าน jewelry อีก ร้านนี้เน้นหยก แต่ไม่ได้เงินข้าหรอก เฮอะ ๆ ถึงเมืองหล้าค่ำ ๆ กินข้าวเย็นแล้ว เค้าปล่อยให้เดินชมเมือง เลยได้เห็นห้างสรรพสินค้าของเค้า ก็ไม่เลวทีเดียวสำหรับเมืองเล็ก ๆ ของถูกด้วย โดยเฉพาะผลไม้เมืองจีนแช่อิ่ม อาจารย์ซื้อกันคนละหลายรอบ (ประเภทซื้อแล้วเอามา bluff กันว่าฉันซื้อถูกกว่า อีกคนเลยต้องวิ่งเข้าไปซื้อใหม่ไม่ให้น้อยหน้า) ได้กินอาหารฝรั่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาสิบสองปันนาด้วย ก็เฟรนช์ฟรายไง แต่เป็น local brand นะ อร่อยดีเหมือนกินที่อื่น ๆ
เดินกลับโรงแรม เลยนั่งคุยกับ อ.กจายศักดิ์ถึงเรื่องรูปแบบการออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของสมเด็จพระเทพรัตนฯ ว่าจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบ ปฏิวัติใหม่เลยมั้ย ออกหน่วยเดือนเว้นเดือน เดือนที่ไม่ออกก็ไป survey กับปิดโครงการ อย่างนี้จะได้ออกปีละ 6 ครั้ง น่าจะเก็บโรงเรียน ตชด. ได้มากกว่า 50 โรงต่อปี (ส่วนหน่วยบูรณาการนี่ ไม่กล้าละลาบละล้วง ให้ อ.ณรงค์ชัยกับทีมบริหารมหาลัยไปบริหารเอง ดีอยู่แล้ว) ตรงนี้ อ.เห็นด้วย แต่ต้องมาดูตัวบุคคลด้วยว่า ใครจะไป survey ไม่ใช่พวกเราอยู่แล้ว เพราะงานสอน + service + บริหารก็แทบไม่มีเวลา ดังนั้นต้องหาอัตราจ้าง จนท.ประจำหน่วยแพทย์ฯ (อัตราคณะ หรือศูนย์แพทย์ฯ ก็ได้) คงต้องไป defend อัตราอีกครั้งตอนที่มหาลัยจัดสรรมาให้ เราเองก็รับปาก อ.ไปว่าจะช่วย defend ให้ด้วยในที่ประชุม นั่งคุยจน 4 ทุ่มกว่าก็ไม่ไหว ลืมตาไม่ขึ้นก็เลยเข้านอนไว
เหนื่อยโคตร ๆ
หลงทางเข้ามาอ่าน บทความสั้นๆ รู้สึกประทับใจแทนเลยครับ
1.คุณหมอ(ใช่มั้ง)ได้บุญมากเลย ออกรักษาคนเจ็บไข้ไม่เลือกชนชาติ
2.ได้ทำงานใกล้ชิดกับพระบรมวงศา(จากที่อ่านแล้วเข้าใจตามนี้ครับ) โดยเฉพาะสมเด็จพระเทพรัตน์ นี้ คนลื้อ คนเขิน คนลาว บางคนเรียกว่านางผมหอมเลยนะครับ
(นางผมหอมนี้เป็นนางในวรรณกรรมไทลื้อ ไทเขิน เรื่องอะไรจำไม่ได้ จำได้แต่คน
ปริวรรต(ถอดความ) ชื่อ อ.อนาลโตล เปลติเยร์ ครับ)
คุณ luxaman
ขอบคุณมาก ๆ ที่ (หลง) เข้ามาอ่าน ที่มาที่ไปของการเข้ามา gotoknow ของผมก็เพราะต้องทำการบ้านส่งอาจารย์วิทยากร ที่อบรมให้เราเป็น knowledge manager หรือเรียกง่าย ๆ ว่า "คุณอำนวย" ของการทำ KM แลกเปลี่ยนเรียนรู้ พอส่งการบ้านเสร็จ จบโครงการก็แทบไม่ได้เข้ามาอีกเลย พอรู้ว่ามีคนมาอ่านก็ยังแอบดีใจ
ไอเดียตรวจรักษาในประเทศเพื่อนบ้านเป็นของอาจารย์หัวหน้าโครงการ (เราเคยไปจำปาสัก ปลายปีนี้จะไปเวียดนามด้วย) แต่ไม่ทิ้งวัตถุประสงค์ดั้งเดิมคือ ต้องไปดูแลสุขภาพเด็ก รร.ตชด.ทั่วประเทศ
ทุกคนที่เข้ามาช่วยออกหน่วยก็เพราะอยากรับใช้พระองค์ท่าน ปีนึงได้เข้าเฝ้าใกล้ชิด 1 ครั้ง (แล้วแต่ทางวังจะจัดเป็นทริบไหนโรงเรียนไหน) ก็เป็นบุญแล้วครับ
ขอบคุณคุณ luxaman มาก ๆ สำหรับข้อมูลที่นำมาแลกเปลี่ยน
ขอบคุณสำหรับข้อเขียน เมืองฮำเป็นเมืองที่งดงามของไทลื้อ วัดที่ท่านกล่าวถึงสร้างมาแล้ว กว่า1,400ปี ปัจจุบันถ้าพักโฮมสเตย์ ตกวันละ 50 หยวน ทางการของอำเภอนี้เขากำหนดพื้นที่ในการสร้างอาคารต้องสร้างเป็นแบบบ้านไทลื้อ ที่เขาใช้เป็นทั้งร้านอาหารและที่พัก