วันที่สาม วันนี้ฟ้ามัว ๆ แต่เช้า คนสะพายกล้องอย่างเราใจคอไม่ค่อยดี กลัวภาพไม่สวย แสงไม่พอ แต่พอสาย ๆ เท่านั้นแหละ อยากให้มัวแบบเดิมตอนเช้าดีกว่า ก็มันเล่นร้อนซะแสบตัวไปหมด
ตอนเช้าไปดูโชว์สิงโต เสือ ม้า มากระโดดหยองแหยง 2-3 ครั้ง ช้างก็มี ตอนยืนดูก็ว่าได้กลิ่นฉี่นะ ตอนแรกคิดว่าฉี่ช้างหรือเสือ แต่ไม่น่าใช่เพราะกลิ่นมันมาจากบริเวณที่ยืนดู ห่างจากกรงตั้ง 20-30 เมตร เดินพิสูจน์จนพบว่ากลิ่นมาจากโคนต้นไม้ใหญ่ข้าง ๆ อย่างนี้คงไม่ใช่สัตว์มาฉี่แล้วล่ะ เค้าไม่น่าปล่อยมาเพ่นพ่านนอกกรง เดินขยับหนีกลิ่นมา ก็มาเจอคนสูบบุหรี่อีก 1 ทีมเต็ม ๆ หนีไม่พ้นจริง ๆ
จากนั้นมาดูวังนกยูง (อันนี้ตั้งชื่อเอง เพราะเก๋ดี) เป็นที่ที่นกยูงที่เค้าเลี้ยงไว้มาอยู่รวม ๆ กันในป่าไผ่ข้างสระน้ำ จากนั้นก็มีการโชว์การให้อาหารนกยูง โดยเค้าจะโปรยเมล็ดธัญพืชแล้วเป่านกหวีดเรียกมันออกมากิน ส่วนใหญ่เป็นตัวเมีย สีไม่สวย ขนร่วง โป๊เห็นเนื้อหนังมังสาซะเยอะ ตัวผู้ที่สวยจริง ๆ 2-3 ตัวเกาะอยู่บนคอนตั้งแต่แรกแล้ว เพราะนกพวกนี้มีคิวต้องถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยวยาวกว่าเข้าคิวซื้อตั๋วหนังวันฉายวันแรกซะอีก
จบจากโชว์อันนี้ก็นั่ง tram ขึ้นไปบนหมู่บ้านไทลื้อ ผิดหวังมากเพราะแทนที่จะพาไปดูใกล้ ๆ หรือเข้าไปในหมู่บ้านเค้าเลย กลับพาไปร้านขายของที่ระลึก (ตามฟอร์ม) ส่วนบ้านชาวไทลื้อเห็นหลังคาไกล ๆ ไม่กี่หลัง
จากนั้นไปกินข้าวกลางวันริมน้ำโขง นั่งกระเช้าข้ามแม่น้ำโขงไปดูลิงเผิอกตัวเดียวในโลก เห็นว่างั้น ดูมันก็อารมณ์ดีนะ ไม่หงุดหงิดตามอากาศที่ร้อนสุด ๆ ดูเสร็จไปสวนสาธารณะจำชื่อไม่ได้แล้ว เดินถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ มีอ.สมชายเดินตาม เราถ่ายมุมไหนแกเอาด้วย เพราะอยากลองของกล้องใหม่ที่เพิ่งซื้อมา ในสวนนี้มีกรงเลี้ยงนกยูงอีกฝูงใหญ่ เดินทะลุสวนไปจะเป็นวัด ซึ่งมีโรงเรียนสอนพุทธศาสนาด้วย มีพระคนไทยมาเรียนอยู่ด้วย
ออกจากวัดพาไปโรงงานกาแฟ ชิมกาแฟแล้วต้อนเข้าเขาวงกต ขอเน้นว่าเขาวงกตจริง ๆ เดินวนไปวนมาตามทางที่เค้าทำไว้ (มึงไม่ซื้อให้มันรู้ไปสิ) กว่าจะหลุดมาได้ก็เสียเงินกันถ้วนหน้า ทั้งกาแฟคั่วบด เม็ดกาแฟ กาแฟสำเร็จรูป ท้อฟฟี่ ฯลฯ ออกจากโรงงานนรก เอ้ย โรงงานกาแฟแล้วพาไปกินข้าวเย็นที่ภัตตาคารใหญ่ มีการแสดงระหว่างที่กินด้วย เป็นการรำ ร้องเพลง ที่น่าสนใจคือ พิธีกรจะประกาศเป็นภาษาไทลื้อด้วย จีนกลางด้วย (ตอนพูดไทลื้อจบลงท้ายว่า หยิ่นดี๋ ซึ่งก็คือ "ยินดี" ตามภาษาคำเมืองนั่นเอง) เค้าให้คนขึ้นไปรำกับเค้าด้วย พวกเราเลยส่งหมอนพรัตน์ไป หล่อสุดแล้ว เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ที่ขึ้นไป ชนะใจคนดูจนได้รางวัลใหญ่สุดมาด้วย เป็นห่อชาที่มีราคาแพงมาก
นึกถึงเรื่องนี้ทีไร คันหัวใจทุกที ทำไมจะต้องพาไปดูเค้าฟ้อนรำเวลาอยากให้ชมวัฒนธรรมของชาติอื่น เคยมีผู้รู้หลายคนว่า อยากเห็นวัฒนธรรมของใครให้ไปดูตามบ้านเลย ว่าเค้ากินอยู่ยังไง ไปดูตามห้างว่า นิยมซื้ออะไรกัน ต่อราคามั้ย ทำยังไงเวลาลูกงอแงจะเอาของในห้าง ต่อคิวเวลาซื้อตั๋วหนังหรือเปล่า ทิ้งขยะถูกที่หรือแยกขยะมั้ย ฯลฯ โอ๊ย จิปาถะ ไม่เห็นต้องมาลิมิตอยู่แต่การฟ้อนรำเลย
ตกกลางคืนเลยต้องไปดูอีกวัฒนธรรมนึง ซึ่งก็คือวัฒนธรรมการเที่ยวกลางคืนของบรรดาวัยรุ่นทั้งหลาย ที่นี่เด็ก ๆ วัยรุ่นเที่ยวดิสโก้เธค หรือผับยังไม่กล้าใส่เสื้อผ้าหวือหวาเท่าเมืองไทย นิยมดื่มเบียร์เป็นหลัก เวลาสั่งเบียร์ไม่มีแบบขวด แบบ tower แบบบ้านเรา เค้าจะยกมาเป็นกระป๋องทีละโหลหรือสองโหล เต็มโต๊ะไปหมด ท่าดิ้นก็งั้น ๆ สู้ทีมเราบางคนไม่ได้ โชว์รูดเสาซะเลย ที่นี่ไม่นิยมสั่งกับแกล้มด้วย สิ่งที่ common บนโต๊ะนอกจากเบียร์คือ แตงโม (เป็นกับแกล้ม) ผ่าแล้วตกแต่งซะสวยเชียว อ้อ ที่นี่เวลาดื่ม ๆ ไป กระป๋องเบียร์ชักเยอะ พนักงานจะมาเก็บกวาดทันที ทิชชู่ร่วงก็คว้าไม้กวาดมากวาดทันที (สงสัยผู้จัดการ train มาดี) พื้นเลยค่อนข้างสะอาด ดีเจที่เปิดแผ่นพูดแทรกเพลงบ่อยมากกกกกก แถมเวลาพูดเหมือนตะคอกหรือว้ากจริง ๆ ครูทหารที่ฝึก นสพ.ปี 4 ของเรายังพูดเพราะกว่าอีก
สิ่งที่ยังรักษามาตรฐานไว้ได้ดีคือ บุหรี่ ในนั้นยังกับหมอกลง โต๊ะเราเป็น secondhand smoker ไปทันที จนทนไม่ไหวต้องออกมาหายใจเอาอากาศจริง ๆ กับโตข้างนอก
นักเที่ยวพอเที่ยวดึกแล้ว บ้านเรามักกินโจ๊ก ก๋วยเตี๋ยว ข้าวต้ม ที่นี่กินขนมจีนเหมือนกับที่เรากินทุกเช้าในโรงแรมนั่นแหละ จอดขายกันหน้าเธคเลย เธคเลิกเดินกลับโรงแรมตี 2 ยังมีร้าน jewelry เปิดขายอยู่หลายร้าน พวกเราหลายคนตั้งคำถามว่า คนบ้าที่ไหนวะมาซื้อพลอยซื้อหยกตอนตีสอง
แค่อยู่ในเธคไม่นานก็ได้เห็นวัฒนธรรมตั้งเยอะ
ไม่มีความเห็น