จากบันทึกเรื่องที่แล้ว (เก็บตกมาฝากนักดื่ม) เป็น Website
ของออสเตรเลีย
คราวนี้มาลองเปิดดูเวบไซต์ของไทยดูบ้าง ที่
http://thaihealth.or.th/cms/upload/alcohol/library/m4.jpg
ซึ่งพูดถึงเรื่องดื่มได้แค่ไหนก่อนขับรถ
โดยอ้างถึงข้อมูลของมูลนิธิเมาไม่ขับ
เลยขอนำมาเล่าต่อ
ซึ่งเป็นเรื่องของการจำกัดการดื่มปริมาณเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนขับรถ
โดยมีผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดกับอุบัติเหตุการจราจรด้วย
ใน 1 ชั่วโมงก่อนขับรถ หากหลีกเลี่ยงการดื่มไม่ได้
ไม่ควรดื่มสุราเกินกว่า 6 แก้ว (ผสมสุราแก้วละ 1
ฝาขวดสุรา) หรือไม่ควรดื่มเบียร์ปกติเกินกว่า
2 กระป๋อง หรือ 2 ขวดเล็ก
ถ้าเป็นเบียร์สดหรือไลต์เบียร์ก็ไม่ควรเกินกว่า 4 กระป๋อง หรือ 4
ขวดเล็ก สำหรับในชั่วโมงต่อไป
ดื่มได้เพียงครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้เท่านั้น
หากดื่มในปริมาณมากกว่านี้จะมีระดับแอลกอฮอล์มากกว่า 50
มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ สูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด
แต่ก็ยังมีการถกเถียงกันอยู่ว่า
ถึงปริมาณแอลกอฮอล์จะเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
แต่นักดื่มก็ยังยืนยันว่ายังขับรถไปได้โดยไม่เกิดอุบัติเหตุ
แตเมื่อดูผลการศึกษาเกี่ยวกับปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดกับโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุจราจร
พบว่า คนที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุใกล้เคียงกับคนที่ไม่ดื่มสุรา
คนที่มีแอลกอฮอล์ในเลือด 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า และเพิ่มเป็น 3
เท่าเมื่อปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดอยู่ที่ 80
มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
ถ้าปริมาณแอลกอฮล์ในเลือดเพิ่มเป็น 100
มิลลิกรัมเปร์เซนต์ โอกาสเกิดอุบัติเหตุเพิ่มเป็น 6
เท่า และเพิ่มขึ้นถึง 40 เท่า
เมื่อปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเพิ่มเป็น 150
มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์
จะเห็นได้ว่าปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดมีความสัมพันธ์กับโอกาสเกิดอุบัติเหตุการจราจรมาก
ถ้าเลือกได้
เราคงไม่อยากนั่งไปในรถที่คนขับมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดถึงแม้จะไม่เกิน
50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ก็ตาม