“หนังสือปลอม” ของปลอมอีกรูปแบบที่ตอกย้ำความเป็นนักปลอมระดับเซียนของไทยที่ต่างชาติยังยกนิ้วให้(จะน่าภูมิใจหรือเปล่าไม่ทราบได้) การเริ่มตระเวนจับ “ของปลอม”ที่มีกระแสจากภาคอิสานของหน่วยงานภาครัฐพร้อมกับเหตุผลที่ยอดเยี่ยมกระเทียมจีน(คล้าย ๆ กับตอนทำ FTA ไทย-จีน) ออกจะดูตลก ๆ ทะแม่ง ๆ ว่าหนังสือปลอมมีน้ำหนักมากกว่าทำให้นักเรียนต้องแบกน้ำหนักมากขึ้น สีกระดาษไม่ถนอมสายตา อ่านไปนาน ๆ จะทำให้สายตาได้รับผลกระทบได้ (พูดอย่างกับว่าทุกวันนี้นักเรียนและครูไทยทุกวันนี้เป็นหนอนหนังสือ) หรือแม้แต่ตัวพิมพ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะมาจากแท่นพิมพ์เถื่อน หมึกพิมพ์ที่ไม่ได้มาตรฐานอาจจะก่อให้เกิดอันตรายปนเปื้อนเข้าสู่ร่างกาย เนื้อหาที่ไม่ถูกต้องจะทำให้นักเรียนได้รับความรู้ที่ผิดพลาด ครูเองอาจจะนำเนื้อหาที่ผิดไปถ่ายทอดได้ ผู้เขียนเลยสรุปเอาตามตัวอักษรเองว่าถ้ามีหนังสือปลอมจะยิ่งก่อให้เกิดความโง่ขึ้นในระบบอีกมากมายมหาศาลอย่างนั้นหรือเปล่ามิทราบได้ แต่ที่แน่ ๆ ที่อันตรายจริง ๆ นั้นคงกระทบต่อภาวะเงินในกระเป๋าของผู้ “สัมปทาน” ที่มีผลประโยชน์ทั้งจากเงินรายได้ เงินค่าหัวคิว เงินส่วนต่างจากการจัดซื้อจัดจ้าง หรือแม้แต่ “สินน้ำใจ” ที่ “เจ้าของลิขสิทธิ์” มีน้ำจิตน้ำใจจะแบ่งกระเซ็นไปให้ท่านผู้มีอำนาจและตำแหน่งทั้งหลายบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับ “หนังสือปลอม” ที่ยึดมาเห็นว่าจะเอาไปบริจาคแก่โรงเรียนห่างไกลหรือโรงเรียนในชนบท ? น่าชื่นอกชื่นใจแทนพี่น้องประชาชนที่รัฐบาลเป็นห่วงเป็นใยสวัสดิภาพของเด็กไทยกันขนาดนี้ ทั้ง ๆที่ผ่านมาการจัดการศึกษาไทยถูกใช้กันหลายมาตรการและหลายมาตรฐาน ด้วยนโยบายปฏิรูปการศึกษาที่สวยหรูแต่แทบจะไม่ถูกแปลงลงสู่การปฏิบัติให้เป็นมรรคเป็นผล ด้วยความเป็น ผู้ออก ผู้ถือและผู้ใช้กฎหมาย ทำให้ข้า(คือ)ราชการทั้งหลายล้วนติดกรอบและวังวน วันนี้หนังสือ(ปลอม) เกิดขึ้นจากบรรทัดฐานทางกฎหมายนั่นคือ “ลิขสิทธิ์” หากละเมิดลิขสิทธิ์คือปลอมหมด เป็นสิ่งที่ดีที่ของปลอมควรถูกกำจัด แต่ทำไมถึงมีการเลือกปฏิบัติไม่กำจัดของปลอมอย่าง ครูปลอม ผู้บริหารปลอม ศึกษานิเทศก์ปลอม ผอ.เขตปลอม ข้าราชการปลอม หรือแม้แต่นายกปลอม(อันนี้ปลอมหรือเปล่าก็ไม่รู้แต่ก็ยังเห็นชิมไปบ่นไปได้อยู่) วันนี้บุคลากรทางการศึกษาถือว่าเป็นวิชาชีพชั้นสูง ต้องมีใบประกอบวิชาชีพเหมือนแพทย์ คนจะเป็นครูก็ต้องมีใบประกอบวิชาชีพครูหากไม่จบทางด้านครูก็ต้องไปเรียนต่อเอาวุฒิ แต่หลายคนที่จบทางด้านครูแต่หลักสูตรเก่าไม่ได้รับการรับรองต้องมีการเทียบโอน บางคนต้องทั้งวิ่งทั้งเส้นกันเพื่อแค่จะให้ได้ใบประกอบวิชาชีพครูไปสมัครงานที่ระบุคุณสมบัติว่า ต้องมีใบประกอบวิชาชีพครู ต่อให้เป็นครูเอกชนหรือคนที่เก่ง ครูพระ ปราชญ์ชาวบ้านที่รู้จริงยิ่งกว่าครู ถ้าไม่มี “ปลอกคอ” ที่ว่าก็หมดสิทธิ์ อย่างดีก็ถูกเชิญเป็นวิทยากรพิเศษบรรยาย(ฟรี) เป็นครั้งเป็นคราวไป โดยไม่ได้สนใจเลยว่าครูที่มีใบประกอบวิชาชีพตามกฎหมายบางคนอาจจะเป็นครูปลอมทางจิตวิญญาณและวิชาชีพซึ่งไม่ได้หมายถึงว่าใบประกอบวิชาชีพจะทำให้การศึกษามีประสิทธิภาพประสิทธิผลตามเจตนารมณ์ของพรบ.การศึกษา 2542 ซึ่งมีที่มาที่ไปจากรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี 2540 ยกตัวอย่างง่าย ๆ มาตรฐานการประเมินคุณภาพภายนอก(สมศ.) ในตัวบ่งชี้ที่ 8.3 ครูสอนตรงตามวิชาเอก/โท หรือความถนัด ในพื้นที่เมืองหรือพื้นที่เจริญไม่มีปัญหา เพราะมีทั้งครูที่สอนในโรงเรียนนานจนไม่ต้องเปิดหนังสือและจำเนื้อหาในหน้าต่างๆ ได้แม่นอย่างกับตาเห็น หรือไม่โรงเรียนก็มีโชค มีวาสนาที่ได้ครูจบใหม่สอนตรงวิชาเอก (แต่สอนเก่งหรือเปล่าคงต้องดูเป็นรายกรณีไป) ครูหลายท่านรอย้ายกลับหรือไปสอนในโรงเรียนที่ใกล้บ้านแต่ก็ยังลังเลและชั่งใจด้วยคำถามของ “เจ้านายระดับสูง”ที่ถามว่า “คุณจะให้กิโลละเท่าไหร่?” เลยต้องรอไว้ก่อนเพราะหนี้ที่ก่อร่างสร้างมาจากสหกรณ์ครูก็ยังไม่ลดไม่หาย ลูกก็ต้องเรียน บางคนมีหลายบ้านอีก เลยต้องหาเงินนอกระบบมาใช้.....
กลับมาเรื่องมาตรฐานครูสอนตรงตามเอก/โท มีตัวอย่างกรณีศึกษาโรงเรียนแห่งหนึ่ง เป็นโรงเรียนที่อยู่ในเขตภูเขาสูงอยู่ห่างไกลตัวเมืองราว 200 กว่ากิโลเมตร ชุมชนและนักเรียนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ ครูส่วนใหญ่เป็นครูบรรจุใหม่รับราชการไม่เกิน 2 ปี บางคนเคยมีประสบการณ์สอนมาบ้าง โรงเรียนแห่งนี้เปิดสอนตั้งแต่ชั้น อนุบาลถึงชั้น ม.3 มีปัญหาครูและผู้บริหารย้ายบ่อย ครูหลายคนตัดพ้อให้ฟังว่า “พอบรรจุทางเขตฯเขาก็จัดอบรมให้แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าเราจะต้องเดินไปในทางไหน จะต้องทำอย่างไร ตอนเรียนก็ไม่เคยมีบอกไว้ว่าถ้าเป็นครูจะต้องถูกประเมิน ไม่เคยบอกว่าจะต้องมานั่งทำงานเอกสารงานธุรการให้ไปลองผิดลองถูกเอง” ฟังแล้วก็ไม่น่าแปลกใจเพราะเป็นธรรมดาของระบบราชการที่จะต้องให้คนที่บรรจุใหม่ได้มีโอกาสได้ไปฝึกประสบการณ์จากโรงเรียนไกล ๆ เพื่อจะได้เป็นการเตรียมเผชิญโลกในอนาคตเป็นเหตุผลที่ดูคลาสสิกเอามาก ๆแต่ก็ทำให้ครูพักนอนที่โรงเรียนเสร็จสรรพ พอครบกำหนดย้ายค่อยทำเรื่องย้ายเหมือนเป็นศาลาพักใจไป โรงเรียนนี้มีความน่าสนใจที่มีครูจบในสาขาวิชาเอกที่หลากหลาย ด้วยความเป็นห่วงว่าจะไม่ผ่านมาตรฐานและกังวลว่าจะสอนในกลุ่มสาระที่ตนไม่ได้จบมา เช่นจบเอกคณิตฯ ไม่ถนัดสอนวิชาภาษาไทย ศิลปะหรือสุขศึกษาพลศึกษา เป็นต้น เลยตกลงปลงใจพร้อมกันทั้งโรงเรียนใช้ระบบการสอนเวียนตามกลุ่มสาระที่ตนเองจบมาตั้งแต่ชั้น ป.1 – ม.3 ครูทุกคนสอนตรงเอก/โทและความถนัด มาตรฐานนี้ผลประเมินออกมาดี ยังไม่ต้องไปคิดให้ปวดสมองว่านักเรียนในระดับชั้นประถมกับมัธยมควรใช้ลักษณะการสอนแบบไหนที่จะเหมาะสม แต่เมื่อพิจารณาถึงประสิทธิภาพทางการสอนในมาตรฐานที่ 9 ที่ว่า “ครูมีความสามารถในการจัดการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ และเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ” ครูส่วนใหญ่บอกว่าเป้าหมายของการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานคือการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งแทบจะไม่ตรงประเด็นเลย ครูที่สอนแต่ละกลุ่มสาระจะสอนหลายระดับชั้น แต่มีแผนการจัดการเรียนรู้ฉบับโชว์ไว้เล่มเดียวสวยหรูดู ๆ เนื้อหาก็เหมือนกับที่มีขายในท้องตลาดทั่วไป แต่หากจะเตรียมแผนครบทั้งหมดที่สอนจริงคงยากในทางปฏิบัติซึ่งก็น่าเห็นใจครู แต่แปลกใจว่าทำไมไม่เตรียมการสอนให้มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เข้าห้องไปแล้วสอนเนื้อหาตามหนังสือของจริงหรือปลอมก็ไม่ทราบได้ รวมทั้งเรื่องของการเป็น “ครูตรายาง” ไม่ตรวจแก้ไขงานของผู้เรียน การสังเคราะห์ข้อมูลผู้เรียนเพื่อนำไปใช้ปรับการเรียนเปลี่ยนการสอน การบันทึกหลังสอนข้อค้นพบ ปัญหา หรือแนวทางแก้ไข และนำไปใช้จริงให้เป็นกระบวนการที่เป็นวิถี นึกถึงคำพูดของบุคลากรทางการศึกษาท่านหนึ่งที่บอกว่า “ครูไม่เตรียมการสอน เท่ากับเป็นอาชญากรทางการศึกษา” สะท้อนให้เห็นในมาตรฐานที่ 5 “ผู้เรียนมีความรู้และทักษะที่จำเป็นตามหลักสูตร” อยู่ในระดับปรับปรุงเกือบทุกตัวบ่งชี้ ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มสาระที่เน้นทักษะและการปฏิบัติ ครูที่นี่เองก็ดีที่ได้การบอกเล่าเก้าสิบถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้ไม่ได้มาตรฐานด้านนี้ เช่น “ผู้บริหารไม่เคยใส่ใจและไม่เคยบอกว่าจะต้องทำอย่างไร ไม่มีคู่มือให้ มาถึงก็อยู่แต่ที่โต๊ะทำงาน ไม่เคยนิเทศติดตามงาน” “เด็กไม่มีพื้นฐานทางภาษาไทย สอนเนื้อหาในหนังสือไปแล้วไม่เข้าใจ” “พ่อ-แม่ไม่รู้หนังสือ ปล่อยปละละเลยลูกและไม่ช่วยกำกับติดตาม” และเป็นที่น่าชื่นชมอีกเช่นเคยที่ไม่ได้รับข้อมูลที่เป็นเหตุปัจจัยอันเกิดจากตัวครูเลย และที่สำคัญผู้บริหารเองก็มีการย้ายบ่อย เล่นเก้าอี้ดนตรีกีฬายอดฮิตติดชาร์ตเหมือนท่านรัฐมนตรีว่าการฯ ผู้บริหารโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อผลประเมินด้านภาวะผู้นำอยู่ในระดับพอใช้แต่ในขณะที่ผลการประเมินรอบแรกของผู้บริหารคนเดิมอยู่ในระดับดี คงต้องไปโทษที่ผู้ประเมินที่มาจากคนละทีม คนละบริษัท มีความเข้มความอ่อนต่างกัน เป็นที่น่าภาคภูมิใจที่บุคลากรทางการศึกษาของที่นี่เดินไปในทิศทางเดียวกัน.....ก่อนที่เราจะโทษตัวเองเราต้องโยนความผิดไปไกล ๆ ก่อนเป็นดีที่สุด ผู้บริหารเองเป็นคนมีวิสัยทัศน์เห็นความสำคัญของการทำหลักสูตรท้องถิ่นได้มีการจัดทำหลักสูตรท้องถิ่นไว้เป็นรูปเล่มสวยงามเพื่อรอรับการตรวจ ทำตามกฎหมายและเกณฑ์การประเมินไม่มีผิดเพี้ยน แต่ไม่ได้ลงลึกถึงปรัชญาหรือแนวคิดที่ทำหลักสูตรท้องถิ่นที่มุ่ง “คืนการศึกษาให้ชุมชน” ตามเจตนารมณ์ของพรบ.การศึกษาดังที่ได้กล่าวมาแล้ว และที่น่าสนใจในแผนปฏิบัติการประจำปีมีโครงการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์รวมทั้งหนังสือเรียนแจกฟรีทุกปีไม่ได้มองดูว่าหนังสือที่ซื้อมาถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเหมือนหน้าที่อันพึงมีของ “หนังสือ”ทั้งจริงหรือปลอมหรือไม่ แต่เขียนในวัตถุประสงค์โครงการให้ดูดีไว้ก่อนเพื่อตอบสนองต่อการพัฒนานักเรียนให้มีทักษะการคิด โดยยังขาดการอธิบายต่อว่ามันไปส่งผลต่อการคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ มีวิจารณญาณ ความคิดสร้างสรรค์คิดไตร่ตรองและมีวิสัยทัศน์ของนักเรียนได้อย่างไร ในขณะที่ครูยังไม่สามารถอธิบายว่าการคิดแต่ละรูปแบบหรือแต่ละมิติเป็นอย่างไร เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองหรือวิทยาศาสตร์การคิดอย่างไร หรือจะใช้เครื่องมือใดในการวัดที่เหมาะสม แต่ใช้การแบ่งครูให้รับผิดชอบหาเอกสารใส่แฟ้มแต่ละแฟ้มให้สอดคล้องกับมาตรฐาน ต่างคนต่างทำผลออกมาเลยเหมือนขนม 14 ชั้น ตาม 14 มาตรฐานการประเมิน เช่น มาตรฐานที่ 1 ด้านคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียน เอารูปงานไหว้ครู รูปนักเรียนเข้าแถวมาสอดไว้ มาตรฐานที่ 4 เรื่องการคิด ครูผู้รับผิดชอบเอาแบบฝึกหัดกลุ่มสาระคณิตฯ มาสอดไว้ หรือแม้แต่แฟ้มสะสมงานของครูเองที่มีการทำงานเน้น “ผลสัมฤทธิ์” ของงาน ก็นำเอาคะแนนผลการเรียนของนักเรียนที่ตนสอนมาใส่ไว้ในแฟ้มของตนเอง....นี่คือผลสัมฤทธิ์ของงาน? การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School base management: SBM) เพิ่มอำนาจการตัดสินใจให้ผู้บริหารถึงแม้จะไม่ทั้งหมดแต่อย่างน้อยก็ยังสามารถบริหารจัดการส่วนต่างค่าตำราหรือหนังสือ (ทั้งจริงและปลอม) ที่ผู้ขายหยิบยื่นให้ได้ แต่หากโอนย้ายไปสังกัดท้องถิ่นแล้วรายได้เสริมของโรงเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ก็จะหายไปด้วย และหากมีการประเมินโรงเรียนไหนที่ไม่ผ่านมาตรฐาน เขตพื้นที่การศึกษาที่สังกัดก็ให้ทำหนังสือชี้แจง มีการจัดลำดับและใช้กลไกทางระบบราชการกดดันกันต่อเป็นทอด ๆ ใช้มาตรการทางสังคมมาประจานให้เกิดความอับอายในหมู่ผู้บริหาร ผู้บริหารมากดดันครูต่ออีกระดับ “ครูโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง” แต่ผลไปตกอยู่ที่นักเรียน ซึ่งเลยกลายเป็น “นักเรียนปลอม” เพราะบางคนมาเรียนแต่ไม่รู้เรื่องเลยต้องออกกลางคัน และหลายคนได้ผลการเรียน ได้เกรดเฉลี่ยน้อยเลยสอบเข้าโรงเรียนดังๆ หรือโรงเรียนใหญ่ ๆไม่ได้ ไม่สามารถเป็นที่เชิดหน้าชูตาครูและโรงเรียนได้ ลำพังการมีคุณธรรม จริยธรรม มีสุขภาพกายสุขภาพจิตที่ดี มีสุนทรียภาพ มีทักษะการทำงานและเจตคติที่ดีต่ออาชีพสุจริตยังไม่เป็นที่พึงพอใจของสังคม หากตราบที่เรายังใช้ “ลิขสิทธิ์” มากำหนดความแท้ความปลอมของหนังสือ ใช้ “ใบขับขี่”มาเป็นมาตรฐานความปลอดภัยบนท้องถนน ใช้ “ใบประกอบวิชาชีพผู้บริหาร ครู ศึกษานิเทศก์” มากำหนดเป็น “คุณค่าความเป็นครู” ใช้เกรดเฉลี่ย ใบ รบ. ใบปริญญาและสถาบัน มาเป็นเครื่องชี้ชะตาและอนาคตของนักเรียน
สวัสดีค่ะ
อืมมม..เห็นด้วยหลายๆประการเลยค่ะ
เขียนได้ดีมากๆเลย
เมืองไทยก็แบบนี้แหล่ะนะคะ..ปลอมเก่งทุกอย่าง อิอิ
ขอบคุณจ๊าดนักเจ้า
บทความที่คุณเขียนเรื่องนี้ ตรงใจค่ะ เคยเขียนไว้เหมือนกันแต่ ลบออกแล้ว เพราะเขียนด้วยอารมณ์ อ่านแล้วสับสน ...
มีหลายคนให้ความเห็นเกี่ยวกับใบประกอบวิชาชีพไว้ว่า