เครื่องมือทำการประมงที่ทำลายล้าง
เรืออวนล้อมจับปลากะตักกลางวัน ( DAY ANCHOVY PURSE
SEINER)
ลักษณะของเรือมี
2
ขนาดคือ
1. เรือขนาดเล็กจะมีความยาว 7 - 16 เมตร
ใช้คนประมาณ 5 - 14 คน
เรือขนาดเล็กความยาวอวน 160 - 250 เมตร
ขนาดของตาอวน 0.4 - 0.6 เซนติเมตร
2. เรือขนาดใหญ่จะมีความยาว 20 - 22 เมตร
ใช้คนประมาณ 30 คน เรือขนาดใหญ่ความยาว 250
- 400 เมตร ขนาดของตาอวน 0.8
เซนติเมตร
ไม่ใช้เครื่องมือในการปั่นไฟ
ใช้เครื่องมีลักษณะอวนล้อมจับแบบใช้สายมาน
เรืออวนล้อมปั่นไฟปลากะตัก (LIGHTED ANCHOVY PURSE
SEINE)
ประกอบด้วย เรืออวน (เรือแม่) 1 ลำ
และเรือปั่นไฟ 1- 3 ลำส่วนใหญ่ 2
ลำทำหน้าที่ปั่นไฟล่อสัตว์น้ำ ความยาวเรืออวน 16 - 24
เมตร เรือปั่นไฟความยาว 9 - 14
เมตร ใช้กำลังไฟขนาด 15 - 20
กิโลวัตต์/ลำ
จำนวนคน 20 - 30 คน เรือทุกลำมีเครื่องเอคโค
ซาวเดอร์ ช่วยค้นหาฝูงปลา บางลำมีโซน่าร์
ใช้อวนล้อมจับแบบใช้สายมานความยาวอวน 250 - 500
เมตร ลึก 50 - 80 เมตร
ขึ้นอยู่กับขนาดของเรือ ขนาดของตาอวน 0.7 - 0.8
เซนติเมตร
ส่วนใหญ่ทำการประมงในน้ำลึก 20 - 45 เมตร
(ฝั่งอ่าวไทย) และลึก 20 - 80 เมตร
(ฝั่งอันดามัน) จะทำการประมงในเวลากลางคืน
ตั้งแต่พระอาทิตย์ตกดิน ถึงพระอาทิตย์ขึ้น
เริ่มจากเรืออวนแล่นเรือค้นหาฝูงปลา ในช่วงเย็น ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
เมื่อพบฝูงปลาจะให้เรือปั่นไฟทั้งสองลำ ซึ่งแล่นตามมาแยกย้ายกัน
ทอดสมอตรงจุดที่พบฝูงปลากะตัก และเปิดไฟล่อสัตว์น้ำ
รอเวลาให้กระแสน้ำหยุดไหล จึงจะทำการจับสัตว์น้ำ
ที่ตอมแสงไฟของเรือปั่นไฟทีละลำ จำนวนวันที่ออกทำการประมง
เริ่มตั้งแต่ แรม 5 ค่ำ ถึง 12 ค่ำ
หรือ 22 - 23 วัน / เดือน วางอวน 2 - 3
ครั้ง / คืน
จังหวัดที่พบมากคือ ตราด ระยอง ชลบุรี จันทบุรี ประจวบคีรีขันธ์
ชุมพร ระนอง พังงา สตูล กระบี่ สงขลา
ทำไมต้องปฏิรูปพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.
๒๔๙๐
อธิบดีกรมประมง นายธำรง ประกอบบุญ
ยอบรับว่า ปัจจุบันทะเลไทยจับปลาได้น้อยมาก
เพราะว่าเราไม่ได้มีการวางแผนการจัดการประมงมาก่อน และปัญหาอวนลาก
อวนรุนละเมิดกฎหมายรุกล้ำเข้ามากวาดจับสัตว์น้ำ ในเขต
๓,๐๐๐ ม.และเขตปิดอ่าว
โดยที่กรมประมงยังไม่สามารถดำเนินการเรื่องห้ามทำการประมงในเขต
๓,๐๐๐ เมตรให้เป็นรูปธรรม
รายงานการศึกษาของคณะอนุกรรมการศึกษาและกำหนดมาตรการที่เหมาะสม
ในการแก้ไขปัญหาการทำการประมงปลากะตักโดยใช้แสงไฟประกอบ กล่าวถึง
ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายและประสิทธิภาพของกฎหมายประมงไว้ว่า
- คดีความผิดตามกฎหมายประมงเป็นคดีขึ้นศาลแขวงต้องส่งฟ้องภายใน
๔๘
ชั่วโมงทำให้เรือประมงสามารถกลับไปทำการประมงได้อีกอย่างรวดเร็ว
- เป็นคดีที่ทำผิดในทะเล
ทำให้การจับกุมและรวบรวมพยานหลักฐานยุ่งยาก
จึงจับกุมได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
- ปัญหาเรื่องเขตอำนาจสอบสวน
(เขตการปกครองทางทะเลไม่ชัดเจน ไม่สามารถระบุได้ว่า อยู่ในเขต
จังหวัดใด)
- ปัญหาข้อกฎหมาย
เรื่องเครื่องมือประมงที่ไม่รวมกับเรือ
-
บทกำหนดโทษเบาทำให้ชาวประมงไม่เกรงกลัวเพราะผลประโยชน์ที่ได้คุ้มค่า
- ไม่มีการริบเรือหรือเครื่องมือประมง
เพราะชาวประมงใช้ช่องว่างทางกฎหมายโดยทำสัญญาเช่าแสดงไว้ในการขอคืนของกลางต่อศาล
เนื่องจากประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓ (๑) กำหนดให้เป็นดุลยพินิจของศาล
ในการรับทรัพย์สิน ซึ่งบุคคลได้ให้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิด
แต่หากทรัพย์สินนั้นเป็นของผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดจะริบไม่ได้
พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐
เริ่มบังคับใช้ช่วงต้นของการพัฒนาการประมงทะเล (ปี พ.ศ.๒๔๙๐ - ๒๕๑๕)
แต่จากปี พ.ศ.๒๕๑๖ จนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า ๒๖
ปีที่การประมงทะเลเริ่มเข้าสู่ยุคของการ ทำลายตัวเองด้วย
การประมงที่ทำลายทรัพยากร
และมุ่งกวาดล้างสัตว์น้ำโดยที่การควบคุมและการบังคับใช้
พ.ร.บ.การประมง พ.ศ. ๒๔๙๐
ไม่สามารถหยุดยั้งการทำลาย และในหลายกรณีกฎหมายได้เอื้ออำนวยให้
การทำลายล้างทวีความรุนแรงมากขึ้น
พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐
มีช่องว่างที่เปิดให้เจ้าหน้าที่รัฐบางส่วน
ใช้เป็นเครื่องมือในการทุจริต ดังมติคณะรัฐมนตรี ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๓
เรื่องมาตรการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ
เกี่ยวกับการดำเนินคดีแก่ผู้กระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการประมง
พ.ศ.๒๔๙๐ ให้แก้ไข
พระราชบัญญัติดังกล่าวโดยเพิ่มบทลงโทษผู้ทำการประมงโดยใช้เครื่องมือประมงผิดกฎหมายจนทำให้เกิดความเสียหาย
แก่ทรัพยากรทางทะเลให้สูงขึ้นใกล้เคียงกับ
อัตราโทษตามความผิดที่เกิดจากการสร้างความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชนหรือของรัฐและให้เพิ่มบทบัญญัติว่าด้วย
การสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าของเรือหรือ
เจ้าของเครื่องมือประมงที่ใช้กระทำผิดมีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับการ
กระทำผิดและให้ริบเรือประมงหรือเครื่องมือนั้นเสียโดยไม่ต้องคำนึงว่า
จะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อปิดช่องว่างของกฎหมาย
และป้องกันการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบของเจ้าหน้าที่
พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. ๒๔๙๐ ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ.
๒๕๔๐ ในมาตราที่เกี่ยวข้องกับสิทธิและการมีส่วนร่วมของบุคคล
ชุมชนท้องถิ่นและองค์กรปกครองท้องถิ่น ในการมีส่วนร่วมในการบำรุงรักษา
ใช้ประโยชน์และได้รับประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ
ความหลากหลายทางชีวภาพ
ที่มา www.psu.ac.th/handbook