ในระยะ ๒-๓ ปีที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสทบทวนถึงทางเลือกและทางออกในการพัฒนาการศึกษาไทย ที่ดูเหมือนแทบจะไม่พัฒนา หรือพัฒนาแบบพายเรืออยู่ในโอ่ง
ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะว่า มีความพยายามที่จะแก้ปัญหาโดยสำนักงานมาตรฐานการศึกษา (สมศ.) ได้พยายามค้นหาวิธีที่จะพัฒนาการศึกษาไทยในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดมาตรฐานการศึกษา มาตรฐานกำหนดตำแหน่ง มาตรฐานสถานศึกษา รวมทั้ง การของบประมาณเพื่อมาตอบแทนกับคนที่ตั้งใจพัฒนาตัวเอง อย่างเป็นกอบเป็นกำ ทำให้บุคลากรทางการศึกษาได้มีโอกาสทำผลงานขอตำแหน่งเพื่อขอรับผลตอบแทนกันเป็นการใหญ่
แต่....ปรากฏว่า ความพยายามทั้งหลายทั้งปวงของ สมศ. กลับกลายเป็นกระสุนด้าน หรือยิงเข้าสู่กองทราย แรงแค่ไหนก็หยุดอยู่กลางกองนั่นแหล่ะครับ ไม่มีโอกาสทะลุไปอีกฟากหนึ่งเลย
นี่คือความรู้สึกจริงๆ ต่อกระบวนการพยายามของ สมศ.ที่ผมมี
ทั้งนี้ เพราะว่า มาตรฐานต่างๆ ที่กำหนดขึ้นมานั้นดูดีมาก แต่ไม่มีใครทำตาม อย่างมากก็เขียนไว้ในเอกสารที่ไม่มีการปฏิบัติ หรือปฏิบัติก็น้อยมาก ไม่จริงจังอย่างที่น่าจะเป็น
ทั้งนี้มาจากหลายเหตุผล อาทิ
ดังนั้น งานจะเดินหรือไม่ จึงมาอยู่ที่ผู้บริหารสถานศึกษา ว่าจะเห็นแก่ส่วนรวม หรือเห็นแก่ส่วนตัว หรือคิดอะไรไม่ออก อยู่อย่างเดิมๆ
แต่.....ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวนหนึ่ง ก็ยังเห็นแก่ตัว (ทั้งที่รู้ตัว และไม่รู้ตัว) ทำงานเพื่อตัวเองมากกว่าเพื่อสถานศึกษา และยังอาจใช้อำนาจสั่งการให้ลูกน้องที่พอจะทำงานเป็น มาช่วยงานตนเอง ซึ่งทำให้ศักยภาพของการพัฒนาระบบการศึกษาอ่อนด้อยลงไปอย่างทันตาเห็น
แล้วเราจะหวังพึ่งใคร ได้ครับ...
สมศ.จะทำอย่างไรต่อไป หรือจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
เราจะมีการติดตามประเมินผล ความสัมฤทธิ์ผลของแผนงานของ สมศ.หรือไม่ หรือจะปล่อยให้เป็นไปอย่างเดิม ๆ ที่เป็นอยู่ กล่าวคือ
แล้วอนาคตการศึกษาของไทย คือ อะไรครับ
ผมเคยเขียนไปแล้วว่า เรา(แทบ)ไม่มีครู ไม่มีนักเรียน ไม่มีนักศึกษา แล้วเรามีระบบการศึกษาไว้ทำอะไร อยากฟังคำตอบจาก สมศ.ครับ ว่า ท่านสนใจหรือเปล่าว่า คนที่ขอตำแหน่งทางวิชาการนั้น เป็นครูจริงหรือไม่ หรือเป็นแค่ในเอกสาร หรือเป็นเพราะจ้างคนทำเอกสารแทน หรือเป็นแค่นักท่องตำราไปเล่าให้เด็กฟัง
สำหรับนักเรียนนั้น สมศ.สนใจหรือไม่ ว่า เรามีนักเรียนจริงๆ อยู่กี่คน มีนักท่องตำราไปสอบอยู่กี่คน หรือว่าไม่เกี่ยวข้องกับงานของ สมศ. ผมก็ไม่ทราบครับ
ถ้าเราไม่คิดใน ๒ ประเด็นนี้ ผมก็ไม่ทราบว่า เราจะมีระบบการศึกษาไว้ทำอะไร จริง ๆ ครับ
แค่นี้ผมก็คิดไม่ออกแล้วครับ
ใครคิดออกบ้างครับ (โดยเฉพาะ สมศ.และผู้บริหารสถานศึกษาทั้งหลาย) ท่านเห็นด้วยหรือไม่ครับ ที่จะปล่อยให้การศึกษาเป็นเช่นนี้ต่อไป
สวัสดีครับ อาจารย์ :)
ขอบคุณครับอาจารย์ แจ่ม และ เป๊ะ มาก :)
ขอบคุณครับ
ช่วยมองหาทางออกหน่อยครับ
ผมเดินมาถึงทางตันแล้วครับ
สวัสดีครับท่านอาจารย์
จะลองประยุกต์แนวทางจากสามก๊กมาลองใช้ดูไหมครับ น่าจะมีทางออกที่ดีก็ได้ครับ จึงผมว่าปัญหาเรื่องการศึกษานี่ต้องถามแรกๆ เลยว่า..
อิๆๆ มากวนหมวนอย่างเดียวครับ
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์
...ช่วยมองหาทางออกหน่อยครับ ผมเดินมาถึงทางตันแล้วครับ...
ผมว่า อาจจะเป็นทางตันจริง ๆ ครับ เพราะถ้าสังเกตุให้ดีจะเห็นว่า ยุคสมัยหนึ่ง ท่านผู้นำที่พยายามฟัดแก้ไขทุกปัญหาที่ขวางหน้าได้พยายามจะแก้ปัญหาด้านการศึกษาอย่างจริงจัง ถึงกับออกมาสอนหนังสือโชว์ เรียกน้ำย่อย ได้ส่งแม่ทัพ หลายคนทั้งบู้และบุ๋นไปนั่งเป็นจ้าวกระทรวงศึกษาฯ ผลสุดท้ายก็ลาออก อยู่ไม่ครบวาระเลยสักคน... บางท่านเป็นนักวิชาการระดับเซียน พอมารู้ความจริงอย่างที่ท่านเล่าแจ้งแถลงมา ก็ขอปล่อยวางและลาออกเอาดื้อ ๆ ก็มี
คนในวงการศึกษาจำนวนไม่น้อยที่ตัดสิน Early เพราะทนรับทราบความจริงอย่างที่ท่านอาจารย์ว่านี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงขอปล่อยวาง Early ดีกว่า
จะง่ายไปไหมที่จะบอกว่า ..ปล่อยวางดีกว่า.. เพราะในความเป็นจริงของโลก ๆ ก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ที่สำคัญนักการศึกษาที่ดีก็มีไม่น้อยนะครับ
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์
ขอบคุณครับ
ไม่ท้อ ไม่ท้อ ไม่ท้อ ลูกท้อไม่มีครับ
แต่หาคนช่วยมองหาทางออกครับ
ธุรกิจทำลายชาติโดยการทำเอกสารผลงานที่เป็นเท็จนั้น หรือให้คนอื่นทำเท็จแทนขานั้น เราฟ้องร้องได้ไหมครับ
เพราะเป็นอาชญากรรม ฉ้อโกงระดับชาติ สร้างความเสียหายมากมาย
ท่านอัยการว่าอย่างไรครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์
หนิงไม่ได้เป็นครูนะคะ แต่อยู่ในแวดวงการศึกษา (ของผู้พิการ) อ่านแล้วโดน!! เช่นกันค่ะ
เหนื่อยเหมือนกันค่ะ การทำงานกับเด็กที่ถูกครูทิ้งให้มะงุมมะหงาหรา หาทางเรียนรู้เอง เด็กจะอ่าน จะรู้ที่อาจารย์สอนยังไงหนอ นี่หรือคือการศึกษาแบบยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ แต่หนิงก็ไม่ท้อนะคะ เพราะลูกๆที่ DSS@MSU ก็ไม่เคยท้อแม้มองไม่เห็นค่ะ
อ่านดูแล้ว เหมือนว่า ตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงานหลัก Key Performance Indicator จากสำนักงานมาตรฐานการศึกษา (สมศ.) นี่ทำให้เกิดโรคเครียดเพิ่มขึ้นมากนะคะ
ไปอ่านพบข้อเขียนของ ท่านศ. ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส ศูนย์ศึกษาธุรกิจและรัฐบาล มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด---อาจมีเกี่ยวข้องบ้าง
เลยขอนำมาให้อ่านกันค่ะ พวกหน่วยงานPISA หรือ OECD ดิฉันก็เคยมีลิงค์อ้างอิง เอาไว้ที่บันทึกดิฉันบ้างแล้วในความเห็นที่ 102 # ค่ะ
ปัญหาการศึกษาในต่างประเทศ อิสราเอล เป็นประเทศที่มีปัญหาการศึกษาคล้ายคลึงกับไทยอย่างมาก
สัญญาณที่บ่งบอกว่าการศึกษาในอิสราเอลมีปัญหา และเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทยพบว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกันในหลายประการ ดังนี้ แต่ศักยภาพด้านนี้ได้ลดลงเรื่อย ๆ โดยในปี 2002 เลื่อนอันดับลงไปอยู่ที่ 33 จากทั้งหมด 41 ประเทศ ตามหลังประเทศไทยและโรมาเนีย และนักเรียนอายุ 18 ปี เพียงร้อยละ 30 เท่านั้น ที่ผ่านการทดสอบมาตรฐานการอ่านภาษาฮีบรู (standard Hebrew reading comprehension test) จากที่เคยผ่านถึงร้อยละ 60 เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เช่นเดียวกับประเทศไทย ผลการสำรวจในโครงการ PISA ปี 2549 เป็นสิ่งที่ยืนยันว่า ไทยควรปรับปรุงการเรียนการสอนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และยังมีผลการทดสอบระดับชาติ จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ปี 2546-2547 และ 2549 พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีคะแนนเฉลี่ยวิชาหลักต่ำกว่าร้อยละ 50 ในวิชาสังคมศึกษา ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ยกเว้นวิชาภาษาไทย ผลการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (O-NET) ปีการศึกษา 2548-2549 โดยสำนักงานทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) พบว่า นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีคะแนนเฉลี่ยวิชาหลัก 5 วิชา คือ ภาษาไทย สังคมศึกษา ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ต่ำกว่าร้อยละ 50 ทั้ง 2 ปี ยกเว้นภาษาไทย ที่อิสราเอล ครูมีภารกิจงานมากแต่ค่าจ้างต่ำ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่ในระดับต่ำ ในศตวรรษที่ 1960s นักเรียนอิสราเอลมีศักยภาพด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์อันดับต้น ๆ ของโลก
ในขณะที่ประเทศไทยก็ประสบปัญหาครูทำงานหนักแต่รายได้ค่อนข้างต่ำเช่นกัน จากรายงานการวิจัยของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) สภาวะการขาดแคลนครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศไทย (2547) โดย รศ.ดร.ชนิตา รักษ์พลเมือง รศ.ดร.จรูญศรี มาดิลกโกวิท และคณะฯ พบว่า ค่าตอบแทนครูต่ำเมื่อเทียบกับวิชาชีพอื่น อีกทั้งระบบเงินเดือนเดียว กล่าวคือ อัตราเงินเดือนระหว่างครูเก่งครูดีกับครูคุณภาพต่ำไม่แตกต่างกัน ทำให้ครูเก่งครูดีขาดกำลังใจและมีแนวโน้มจะขอออกจากการประกอบวิชาชีพครูมากขึ้น การขาดแคลนครูในวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ปัจจุบันอิสราเอลขาดแคลนครูที่เชี่ยวชาญในวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ การแก้ไขปัญหาคุณภาพการศึกษาของอิสราเอล อิสราเอลแก้ไขปัญหาการศึกษาด้วยการเพิ่มงบประมาณในปี 2008 โดยอิสราเอลจะเพิ่มงบประมาณอีก 400 ล้านเหรียญสหรัฐสำหรับการศึกษา โดยงบฯ ที่เพิ่มเข้ามานี้นำมาใช้เป็นเงินเดือนครูและการปฏิรูปโรงเรียน โดยรัฐบาลมีงบผูกมัดว่าต้องเพิ่มงบฯ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในอีก 5 ปี นั่นหมายความว่า รัฐบาลอิสราเอลให้ความสำคัญกับการปฏิรูปที่ครูผู้สอน และสถานศึกษามากกว่าการพัฒนาหรือปฏิรูปในส่วนอื่น ผลการประเมินขององค์กรระหว่างประเทศพบว่า การศึกษาไทยประสบปัญหาด้านคุณภาพ ตั้งแต่ปฐมวัยถึงระดับอุดมศึกษา อาทิ องค์การความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ OECD จัดโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (Programme for International Student Assessment: PISA) ปี 2549 โดยสำรวจความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และการอ่านของนักเรียนอายุ 15 ปี จำนวน 4 แสนคน ในประเทศสมาชิก OECD 57 ประเทศ ผลการสำรวจพบว่า มีนักเรียนไทยไม่กี่คนทำคะแนนอยู่ในกลุ่มความสามารถระดับสูง นักเรียนไทยประมาณร้อยละ 40 ทำคะแนนอยู่ในระดับ 1 หรือต่ำกว่า และร้อยละ 50 ทำคะแนนด้านคณิตศาสตร์อยู่ในระดับ 1 หรือต่ำกว่า องค์การยูเนสโก ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แนะนำว่าไทยควรเพิ่มคุณภาพการศึกษา โดยระดับปฐมวัยควรปรับหลักสูตรการเรียนการสอน ระดับอุดมศึกษาควรปรับการวัดมาตรฐานการสอน ทำวิจัย และเพิ่มจำนวนหนังสือในห้องสมุด เป็นต้น
ตัวอย่างของอิสราเอลที่เห็นว่า จะพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้ต้อง “พัฒนาที่ตัวครู” และ “ปฏิรูปที่สถานศึกษา” ซึ่งหากวิเคราะห์คานงัดในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาไทย ผม...ดร.เกรียงศักดิ์ฯ...เสนออย่างน้อย 3 จุด ได้แก่ อ่านแล้ว ไม่ค่อยสบายใจนะคะ แต่ท้อไม่ได้ ผู้รู้อย่างอาจารย์แสวงฯ ต้องช่วยกัน แก้ไขกันต่อไปค่ะ
2) จัดสรรทรัพยากรโดยจัดสรรเงินอุดหนุนรายหัวให้แก่ผู้เรียนตามคุณภาพและประสิทธิภาพในการจัดการศึกษาของสถานศึกษา
3) พัฒนาคุณภาพครู โดยพัฒนาครูให้มีคุณภาพในการสอนและมีขวัญกำลังใจในการประกอบวิชาชีพ
อาจารย์คะ ข้อ 1 ของดร.เกรียงศักดิ์ฯกระเด้งลงมาข้างล่างของหน้าค่ะ แปลกจัง เป็นอย่างนี่มาหลายทีแล้วค่ะ...
1) นำธงชัด โดย รมต. ศธ. ต้องชัดเจนด้านการกำหนดนโยบายการศึกษา และมีกลไกให้เกิดดำเนินการต่อเนื่องแม้มีการปรับเปลี่ยนรัฐบาล
ขอบตุณมากครับ
ผมได้อะไรอีกมากเลยตรับ
ผมคิดว่าข้ออ่อนของเรื่องนี้อยู่ที่การดำเนินการอย่างถูกชั้นตอน
การพัฒนาครูน่าจะมาก่อน แบบพร้อมๆกันกับ ทรัพยากรการศึกษา และติดตามประเมินผลการทำงานแบบนำธงชัด น่าจะไปได้นะครับ
ฉะนั้น จะไปได้ไม่ได้น่าจะอยู่ที่กระบวนการด้วย ครับ
สวัสดีครับ
เวลาผมเห็นหนังสือเล่มหนาๆ ของครูวุฒิทีไรผมนึกถึงป่าไม้ทุกทีเลยครับ ผมมองว่ากระดาษมาจากป่า หากกระดาษนั้นไม่คุ้มค่าเีสียดายป่าจริงๆ ครับ แต่หากกระดาษนั้นคุ้มค่า กระดาษอาจจะทำให้พื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นได้ครับ
ขอบพระคุณมากครับ
ผมไม่เป็นห่วงเรื่องทางตันครับ ทางมีมากมาย หลายแยก หลายทิศทาง ถึงมีทางที่จะเดินได้มากมาย ผมก็ยังเป็นห่วงว่าเราจะลุกขึ้นมาเดินกันได้หรือเปล่า หรือ ถูกทางแค่ไหน (ไม่หลง) หรือ ได้ดีแค่ไหน (ยั่งยืน)
อาจารย์แสวงคะ
มีอีกข้อค่ะ เป็นความสงสัยส่วนตัวค่ะ เพราะไม่ทราบจริงๆ
คือดิฉันเห็นพวกนักศึกษาปี1-4 บางคณะที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง มีเวลาว่างมาก ไปเรียนก็สาย บางทเรียนเช้า สายๆกลับ และก็ไม่ได้ไปอีก ถามเข้า เขาบอก วันนี้ไม่มีเรียนแล้ว
แต่โดยภาพรวม นักศึกษาเรียนน้อยลงกว่าสมัยที่ดิฉันเป็นนักศึกษานะคะ บางทีไปสายครูต้องรอนาน
ที่อยากทราบคือ ได้มีการ ลดชั่วโมงการเรียนการสอนลงไปหรือเปล่าคะ
เพราะที่อิสราเอลนะคะ เมื่อปี 1997 นักเรียนใช้เวลาอยู่ในโรงเรียนจำนวน 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แต่ในวันนี้ ผู้เรียนใช้เวลาเรียนเพียงแค่ 30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โรงเรียนส่วนใหญ่หยุดการสอนตั้งแต่เวลา 13.00 น.
เพราะบางวิชาไม่มีการเรียนการสอน หรือบางวิชาไม่สามารถสอนได้ครบตามหลักสูตร โดยวิชาหลักอย่างคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ได้ถูกตัดทอนบทเรียนลงไปค่ะ
ส่วนประเทศไทย....ผลจากนโยบายจำกัดอัตรากำลังคนของภาครัฐ หรือการเออลี่รีไทร์ ทำให้ขาดแคลนครูอย่างรุนแรงตั้งแต่ปี 2543 โดยเฉพาะครูวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาต่างประเทศ
นอกจากนี้ กระบวนการผลิตครูยังไม่สามารถคัดเลือกคนดีคนเก่งมาเป็นครูได้อีก
เลยไม่ทราบว่า เราได้มีการลดชั่วโมงเรียนอย่างอิสราเอลไหม
ถ้าเป็นจริง ดิฉันใจหายมากเลย สงสารเด็กไทยค่ะ
แต่คงไม่เป็นอย่างนั้น ใช่ไหมคะ อยากให้ตอบด้วยค่ะ สงสัยจริงๆค่ะ
สวัสดีครับ ดร. แสวง รวยสูงเนิน
เรื่องระบบการประเมิน ผมคิดว่า เราคงต้องกลับไปใคร่ครวญแนวคิดของเดมมิงให้ดี เพราะเราชอบไปหยิบของเขามาใช้แบบเป็นเสี้ยว ๆ แล้วก่อปัญหา ทั้งที่แนวคิดของเขา บูรณาการ แบ่งแยกเมื่อไหร่ เกิดปัญหามากกว่าจะเป็นคุณ
ก่อนหน้านี้ ผมเคยเขียนถึงเดมมิงนิดหน่อย
ระบบประกันคุณภาพที่เป็นอยู่ ดูเผิน ๆ เป็นตามระบบเดมมิง แต่ถ้าดูให้ดี มีประเด็นที่ สวนกับแนวคิดเดมมิงอย่างรุนแรง
"ติดตามดูแลการปฏิบัติงานเพื่อมุ่งช่วยแก้ปัญหา ไม่ใช่เพื่อประเมินจัดอันดับ"
"หาทางก่อให้เกิดทีมงาน ให้ความสำคัญของทีมงานมากกว่าปัจเจกบุคคล"
จะเอาเลิศทางไหน ก็คงไม่แปลก
แต่เมื่อไหร่จะเอาเลิศสองทาง คือ คนเลิศ ทีมงานเลิศ สิ่งที่จะได้ คือ วิบัติ เพราะเป็น "จิตเภทเชิงนโยบาย" เพราะสองอย่างนี้ อยู่คนละฐานความเชื่อ อยู่ด้วยกันเมื่อไหร่ คนจะเครียดและดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด องค์กรก็จะพัง
ในบริบทนี้ ครู ต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน อย่างที่อาจารย์แสวงยกมา จะเป็นอื่นไปได้อย่างไร ?
ถ้าดูกรณีที่พี่ Sasinanda ยกตัวอย่างอิสราเอล ก็จะเห็นว่า
“พัฒนาที่ตัวครู” และ “ปฏิรูปที่สถานศึกษา”
พอดูให้ดี ๆ ก็คือ เขาปรับตัวไปใช้ระบบของเดมมิงแบบขนานแท้ ที่บูรณาการฐานความเชื่อเข้าด้วยกันแบบครบองค์
"หาทางก่อให้เกิดทีมงาน ให้ความสำคัญของทีมงานมากกว่าปัจเจกบุคคล"
"อย่าปกครองโดยสร้างความกลัวแก่ผู้ปฏิบัติงาน"
"ประสานหน่วยงานย่อยเพื่อให้เกิดทีมที่ดี"
"ฝึกฝนและให้การศึกษาแก่ผู้ปฏิบัติงานและผู้บริหาร"