โลกร้อน...(ตับ)แตก


โลกร้อน...(ตับ)แตก

               โลกจะแตกในอนาคตอันใกล้นี้ใช่ไหมคะ...เสียงนักเรียนหญิงขี้สงสัยถามด้วยความหวาดกลัว

                แต่ก่อนเรามักจะได้ยินว่าโลกมีปรากฏการ์เรือนกระจกหรือกรีนเฮาส์เอฟเฟค แต่ถ้าถามนักเรียนว่าคำนี้หมายถึงอะไรหลายคนตอบไม่ได้ แต่ถ้าเปลี่ยนคำถามว่า โลกร้อน คืออะไร หลายคนตอบปร๋อว่ามันคือสภาวะที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นจนร้อน เห็นไหมล่ะว่าคำว่า "โลกร้อน" มันสื่อความได้ชัดกว่า "ปรากฏการณ์เรือนกระจก" แต่ทั้งสองต่างก็ไม่ใช่คำเดียวกันแน่นอน เหมือนกับคำว่าโลกร้อนเป็นคำตอบของปรากฏการณ์เรือนกระจก หรือพูดง่ายๆว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจกทำให้โลกร้อนนั่นเอง

                green house effect หรือปรากฏการณ์เรือนกระจก เป็นคำที่นำมาใช้มาจากปลูกผักในเขตอากาศเย็น พูดให้ละเอียดก็คือ อากาศในเขตประเทศที่มีอุณหภูมิต่ำไม่เหมาะแก่การปลูกผักซึ่งต้องการอุณหภูมิที่สูงกว่าอากาศแต่ทำไม่ได้ในสภาพปกติ จึงต้องสร้างอาคารที่ทำมาจากกระจกใสเพื่อให้แสงอาทิตย์ส่องผ่านได้ใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง และความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่ส่งผ่านกระจกเข้าไปจะสะท้อนกลับออกไม่หมดความร้อนจึงสะสมอยู่ภายในอาคารทำให้อุณหภูมิสูงเหมาะแก่การปลูกพืชผัก และเมื่อโลกของเรามีแก๊สต่างๆ ที่ทำหน้าที่เหมือนอาคารกระจกทำให้โลกคายความร้อนออกไปนอกโลกได้น้อยลงโลกจึงมีอุณหภูมิสูงขึ้นคล้ายกับอาคารกระจกจึงเรียกปรากฏการณ์ที่ทำให้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก ซึ่งผลของปรากฏการณ์เรือนกระจกนี้ทำให้โลกร้อน และส่งผลให้เกิดสิ่งต่างๆ ตามมามากมาย

                ผมจะมุ่งเน้นไปทางสภาวะโลกร้อนแบบการเล่าโดยไม่อาศัยหลักวิชาการมากมาย เขียนเพื่อให้คนอ่านได้ง่ายเหมือนการเล่าให้ฟัง

                รู้มาแล้วว่าโลกร้อนเกิดจากปรากฏการณ์เรือนกระจก ซึ่งมีแก๊สทำหน้าที่เหมือนกระจกแก๊สที่ว่าที่สำคัญก็ได้แก่ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ แก๊สนี้เราคุ้นเคยมาตั้งแต่อยู่ในท้องเพราะเป็นแก๊สที่เราหายใจออกนั่นเอง นอกจากนี้ยังเกิดได้การเผาไหม้ทุกชนิดที่ใช้ออกซิเจน ตั้งแต่การเผาป่า เผาขยะ เผาไหม้ในเครื่องยนต์ การทำอาหาร การจุดบุหรี่ เป็นต้น ความจริงแก๊สคาร์บอนใดออกไซด์มีน้อยมากในบรรยากาศโลกแต่ก็ส่งผลรุนแรงกว่าแก๊สอื่นที่มีมากกว่าหลายเท่า ฉะนั้นการหยุดให้มีการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จึงเป็นไปไม่ได้นอกเหนือจากการลดปริมาณลง เช่น ไม่เผาขยะ ไม่เผาป่า ลดการใช้รถยนต์ เป็นต้น

               แก๊สชนิดที่สองคือมีเทน เป็นแก๊สที่เกิดจากการเน่าเปื่อยของสิ่งมีชีวิต การที่เราทานอาหารเหลือ ทิ้งเศษผักที่กินไม่ได้ ของเน่าเสียต่างๆ เหล่านี้จะปล่อยแก๊สมีเทนออกมาปะปนในอากาศและลอยสูงขึ้นทำหน้าที่เป็นตัวลดการสะท้อนความร้อนออกนอกโลก

               เมื่อความร้อนจากดวงอาทิตย์ส่งมาถึงโลกปกติโลกจะเก็บไว้เพียง 10 % แต่ปัจจุบันความร้อนถูกเก็บไว้มากกว่านั้น ความร้อนที่เกินมานี้ส่งผลให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี เริ่มตั้งแต่ น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลาย เมื่อน้ำแข็งขั้วโลกละลายก็ทำให้ระดับน้ำโดยรวมของโลกเพิ่มสูงขึ้น ท่วมแผ่นดินที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปกติ หลายพื้นที่จมอยู่ในผืนน้ำทำให้พื้นดินที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตลดปริมาณลง อะไรจะตามมาก็คือการแย่งที่อยู่กันนั่นเองอาจจะมาในรูปของราคาที่ดินสูงขึ้นมีการอพยพไปอยู่ที่สูงมากขึ้น

                นอกจากน้ำแข็งขั้วโลกละลายแล้วยังทำให้จุลินทรีย์บางชนิดที่รอการขยายพันธ์และเติบโตในสภาวะที่อบอุ่นทำงานได้ดีขึ้น ฉะนั้นการที่เราได้ยินข่าวเกี่ยวกับโรคชนิดใหม่ๆ เกิดขึ้นและรุนแรงมากขึ้น นั่นคือสัญญาณของโลกร้อนที่กำลังคุกคามอยู่ เราเป็นมนุษย์ที่ยังไม่มีภูมิคุ้นกันโรคใหม่เหล่านี้ก็คงต้องเตรียมตัวรับมือไว้ดีๆ

                สภาวะอากาศโดยรวมแปรปรวนก็เกิดมาจากผลของสภาวะโลกร้อน ฤดูกาลเปลี่ยนแปลงไปยาวนานขึ้นหรือสั้นลง ดังจะเห็นหรือสัมผัสได้ในขณะนี้ อากาศในตอนเช้าเดือนมีนาคมยังเย็นมากๆอยู่เลย ทั้งๆที่ความจริงเดือนนี้เข้าหน้าร้อนแล้ว ส่วนฤดูฝนฝนก็ตกหนักมากจนน้ำท่วมซ้ำซาก แต่ในบางแห่งกลับแห้งแล้งขาดแคลนน้ำ มักจะได้ยินข่าวแปลกประหลาดอยู่บ่อยครั้ง เช่น น้ำท่วมหนักที่สุดในรอบ 30 ปี 40 ปีอะไรทำนองนี้

                การสูญพันธ์ของสัตว์ พืช และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ก็เป็นผลมาจากสภาวะโลกร้อนเช่นกัน เพราะสัตว์หรือพืชบางชนิดปรับตัวไม่ทันหรือการหาอาหารทำได้ยากลำบากขึ้น ถ้าหากเราเอาหลักการนี้ไปกล่าวถึงการสูญพันธ์ของแมมมอทก็คงจะคลายความสงสัยลงได้(ในวงเล็บนี้ผมคิดเองนะ เดาเอาว่าเมื่อก่อนนั้นโลกเราคงจะมีอากาศเย็นจัด แมมมอทอาศัยอยู่ได้ แต่ต่อมาอุณหภูมิของโลกสูงขึ้นแมมมอทจึงปรับตัวไม่ได้ค่อยสูญพันธ์ไปในที่สุดก็ไม่เหลือสักตัว) ถ้ามีการสำรวจอย่างจริงจังคงจะมีการรายงานการสูญพันธ์ของสิ่งมีชีวิตหลายชนิดเป็นแน่

แล้วโลกจะแตกจริงหรือ

               ถ้าหากจะนึกถึงโลกจะแตกแยกออกเป็นเสี่ยงคล้ายกับการระเบิดของวัตถุอะไรทำนองนั้น คงไม่เกิดแบบนั้นแน่ แต่ถ้าโลกร้อนขึ้นจนทำให้สิ่งมีชีวิตรวมทั้งคนทนกับสภาพอากาศไม่ได้ค่อยๆ ตายลงไปอย่างนั้นเป็นไปได้แน่ แต่คงไม่ตายไปพร้อมกันหมดหรอกนะ

              อีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าจะคลายความกังวลได้ก็คือ การปรับตัวของสิ่งมีชีวิต ตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป อันนี้มันมีเงื่อนไขมากมายให้น่าคิด เช่น การปรับตัวที่เกิดขึ้นส่วนมากใช้ระยะเวลานานจนกระทั่งเราไม่ทราบว่ากำลังปรับตัวอยู่ แล้วเราจะปรับตัวในช่วงชีวิตเรานั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ นอกเสียจากรุ่นลูกหลานของเราที่จะปรับตัว ผมลองยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า อุณหภูมิของร่างกายมนุษย์นั้นที่บอกว่าต้อง 37 องศาเซลเซียสนั้นปัจจุบันนี้มันเพิ่มขึ้นมาหรือยัง ไม่แน่รุ่นลูกหลานอีก 3 -4 รุ่นอุณหภูมิร่างกายปกติกอาจจะเป็น 39 องศาก็เป็นได้ นั่นคือการปรับตัวใช่ไหม

              จุดมุ่งหมายที่เขียนมานี้ไม่ได้ให้เราได้รับทราบแล้วผ่านเลยไปหรือเกิดความเบื่อหน่าย แต่ต้องการให้เราทุกคนได้ช่วยกันลดปัญหาโลกร้อน หรืออาจจะยืดเวลาให้โลกมันร้อนขึ้นอย่างช้าๆ เพราะอนาคตไม่มีใครทำนายได้ถูกต้องแน่นอน 100 % การป้องกันย่อมดีกว่าการแก้ไขเสมอ เฉกเช่น ป้องกันไม่ให้คนที่เรารักตายย่อมดีกว่าจะทำให้คนที่เรารักตายแล้วฟื้นคืนมาซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ หวังว่าเราจะช่วยกันได้นะครับ ส่วนจะทำอย่างไรก็ลองหาข้อมูลกันดู ปัจจุบันนี้ข้อมูลหาได้ง่ายมากจากอินเตอร์เน็ตครับ

โลกให้ชีวิตแก่เรามาทั้งชีวิต เราจะตอบแทนโลกโดยการลดภาวะให้โลกร้อนน้อยลงไม่ได้เชียวหรือ ถ้าโลกเป็นอะไรไป คิดหรือว่าเราจะอยู่ได้

หมายเลขบันทึก: 170661เขียนเมื่อ 13 มีนาคม 2008 11:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 23:06 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท