ผู้ใดเป็นพาลและรู้ตัวว่าเป็นพาล ผู้นั้นอาจเป็นบัณฑิตได้ ส่วนผู้ใดเป็นพาลแต่สำคัญตนว่าเป็นบัณฑิตผู้นั้นจัดว่าเป็นพาลแท้
พระพุทธภาษิตนี้ ทำให้เด้ข้อคิดว่า ตามธรรมดาสามัญชนอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ นี้ อาจจะทำความผิดได้ด้วยกันทุกคน แต่ผลของการกระทำความผิดนั้นแตกต่างกัน คือบางคนทำผิดแล้วแต่ไม่รู้สึกว่าตนทำความผิด กลับสำคัญว่าตนทำดีแล้ว ใครจะแนะนำอย่างไรก็ไม่ฟัง คนอย่างนี้พระพุทธองค์กล่าวว่าเป็นพาลโดยตลอดไม่มีโอกาสกลับตัวเป็นคนดีได้
ส่วนผู้ใดทำผิดแล้วยอมรับว่าทำความผิด และตั้งใจกลับเนื้อกลับตัวกลับหางกลับหัว กลับชั่วให้เป็นดี คนเช่นนี้ย่อมมีโอกาสกลับตัวเป็นคนดีได้ พระพุทธศาสนาสอนไห้ซำเติมคนทำความผิดแต่ให้
กำลังใจและโอกาสแก่ทุกคนทีผิดพลาดให้รู้จักปรับปรุงตนให้ดีขึ้นด้วยวิธีดิ้นให้หลุด หยุดให้เป็น เห็นให้ดี หนีให้พ้น
ในสมัยพระพุทธกาลก็มีพระเถระที่เคยเป็นโจรในสมัยฆารวาส แต่ภายหลังได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธองค์ ก็กลับตัวและละเลิกความชั่วได้อย่างเด็ดขาด
เพราะฉะนั้น ชีวิตเรายังไม่สายเกินไปหรอกที่จะแก้ไขปรับปรุงชีวิตให้มันดีข้น ให้ก้าวหน้าขึ้น และให้เจริญฃึ้น
ชีวิตไร้ สาระ ขณะนี้
ยังไม่สาย เกินที่ จะแก้ไข
แม้ชีวิต เหลือน้อย ลงเพียงใด
ควรภูมใจ ที่ได้ ทำดีทัน
มีคนเห็น หรือไม่ เป็นไรเล่า
ควรเลือกเอา ความดี ที่สร้างสรรค์
มีคนเห็น หรือไม่ ไม่สำคัญ
ในใจเรานั้น รู้ว่าดี เท่านี้พอ
การนำเสนอธรรมะของผมในวันนี้ก็จบลงเพียงเท่านี้ กราบสวัสดีครับ
ธ.ฉันทะ
สวัสดีครับ
ครับท่าน
ขอบคุณครับ