สู่คูโบตม


ต้นกล้า

เมื่อวานนี้ 11 กุมภาพันธ์ 51 ก็เป็นสุดท้ายที่มีการฝึกอบรมที่สวนป่าของกลุ่มคูโบตมในตอนเช้าก็มีการปลูกไผ่กิมซุงของจีนก่อนพ่อครูบาและทีมงานได้ลงไปดูสถานที่ของกลุ่มคูโบตมซึ่งกระผมและเพื่อนก็ได้ร่วมได้ออกเดินทางไปด้วยโดยได้มีการไปทีวัดหนองคูก่อนที่วัดหนองคูก็ได้มีการปลูกต้นไม้เป็นจำนวนมาก บรรยากาศร่มรื่นมาก พระอาจารย์ก็ได้พาเดินชม ต้นผักหวานและกฤษณาด้วย

มีการทำปุ๋ยอินทรีย์อัดเม็ด และได้ไปดูไผ่มานานาสายพันธุ์ไม่ว่าจะเป็นไผ่ราชินี ไผ่ลืมแล้ง ได้ดูวิธีการตอนไผ่ด้วยพอดูแล้วก็ไม่ยากอะไรเลย ผมว่าทุกคนที่ขยันและตั้งใจจริงสามารถทำได้อย่างแน่นอน แล้วพระอาจารย์ได้มีการบอกว่าจะทำอะไรสำเร็จได้มันขึ้นอยู่ที่ใจของตัวเราเองหากใจเราสู้ไม่ย่อท้อก็สามารถฝ่าฟันไปได้

และเราทำทุกอย่างต้องมีสติ แล้วปัญญาก็จะเกิดปัญญาคือความรู้ที่เรานำมาใช้ในชีวิต จากนั้นก็ได้ไปที่โรงเรียนในหมู่บ้านเพื่อให้ครูบาได้นอนที่นั้นแต่พ่อครูบาไม่นอนเพราะหากนอนที่นี่แล้วเราจะมองเห็นปัญหาและสภาพที่แท้จริงได้เช่นใด กลุ่มคูโบตมก็เลยพาไปที่นาของพ่อตันซึ่งอยู่ติดกับลำน้ำเสี้ยว ที่ยาวไปออกที่แม่น้ำโขงมีความยาวมาก ใช้งบประมาณในการขุดประมาณ 8,000 ล้านบาท พ่อตันเลี้ยงเป็ดอยู่จำนวนหนึ่ง

เพื่อกินไข่มันหากเหลือก็ขายได้ในราคาฟองล่ะ 2 บาท มีการเลี้ยงไก่ เลี้ยงปลาในนาด้วย เมื่อผมได้ไปเห็นก็รู้สึกอิจฉาพ่อตันมากเลยเพราะมีพื้นที่ดี พร้อมทุกอย่างทั้งน้ำและดิน พื้นที่นาผมนี้อยู่ห่างไกลจากน้ำมากเลย และมีครกที่ใช้ตำข้าวแบบว่าไม่ต้องไปพึ่งโรงสีเลย ข้าวก็ยังตีเอง เห็นจากกองฟางที่อยู่ข้างที่พัก ยังเห็นเป็นมัดข้าวอยู่เลย

แล้วในตอนเย็นก็ได้มีการแสดงความเห็นร่วมกัน พูดถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ในสวนป่า ความรู้สึกที่ได้ไปทุกท่านที่ไปก็สามารถเก็บเกี่ยวเอาความรู้ได้เยอะพอสมควร หากมีความรู้แต่ไม่นำไปปฏิบัติมันก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆเลย

ในการไปปรึกษาหารืออยู่ในพื้นที่จริงทำให้เราได้เห็นถึงสภาพปัญหาที่แท้จริงแล้วก็ทำให้ทุกคนสามารถมองเห็นภาพได้อย่างชัดเจนเมื่อพูดอะไรขึ้นมาก็สามารถเปรียบเทียบกับของจริงได้เลยพ่อครูบาพูดถึงเราต้องมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองในการประกอบอาชีพได้แล้วก่อนที่จะสายเกินแก้

การทำนานั้นไม่ใช่ว่าทำมากจะได้กำไรมากเพราะต้นทุนได้สูงขึ้นจากเดิมมาก ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำมัน ค่าแรง ค่าวัสดุอุปกรณ์ ค่าปุ๋ย การทำนาอย่างมากก็ได้แค่เสมอตัวเท่านั้นเอง ส่วนใหญ่จะขาดทุนเสียมากกว่า เราควรที่จะเปลี่ยนมุมมองแนวคิดของเราเองได้แล้วว่าต้องมีขุดสระน้ำตามยาวไม่ต้องเป็น 4 เหลี่ยมจัตุรัสหรอกความชื้นจะได้มีการแพร่กระจายออกไป และปลาก็ชอบตามแนวยาวมากกว่าอยู่ใน 4เหลี่ยมแล้วเราก็ปลูกต้นไม้ตามคูสระของเราได้

ต้นไม้นั้นให้ปลูกหลายๆชนิดหากต้นไหนเจริญเติบโตดีแสดงว่าต้นนั้นแหละใช่เลย แล้วที่นาก็สามารถที่ปลูกต้นไม้ได้ เลือกพื้นที่ส่วนหนึ่งเพื่อปลูกข้าวพอดีกับเราเพราะแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต้องเรียนรู้เองว่าพอของเราอยู่ที่เท่าไหร่ไม่มีใครบอกเราได้นอกจากตัวเราเอง ใน 2 ปีแรกเราปลูกไว้เพื่อกิน แต่หลังจากนั้นก็สามารถที่จะขยายออกได้เช่นเป็ดเลี้ยงเพิ่มอีกได้ไหม เลี้ยงหมูอีกดีไหม เราต้องหัดสังเกตให้มากๆและมีการคิดให้เยอะ

ต้นไม้ที่ปลูกเปรียบเหมือนมันให้เราวันละ 1 บาท ปีหนึ่งก็ให้ 365 บาทต่อหนึ่งต้น แต่ที่จริงเราได้มากกว่านั้นอย่างแน่นอนยิ่งโตมันก็ยิ่งมีราคาขึ้นเท่าตัว ผลพลอยได้เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของดิน ใบที่ร่วงลง ให้ความร่มรื่น สร้างความน่าอยู่ให้กับพื้นที่เราได้

เราก็ต้องมีการเผยแพร่สิ่งที่เราทำนั้นให้คนอื่นได้เห็นด้วยตา ของเขาเองเพราะเราไม่สามารถอยู่คนเดียวในโลกได้ ต้องมีการติดต่อ สื่อสารกัน ไปมาหาสู่กัน มีการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ต่อกันอย่างไม่ขาด เราต้องมีการพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ 

 

 

หมายเลขบันทึก: 170533เขียนเมื่อ 12 มีนาคม 2008 15:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 31 พฤษภาคม 2012 06:53 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)
  • พี่ถึงบ้านที่เมืองพลก็หลับปางตาย
  • เยี่ยมแม่เสร็จก็กลับมาขอนแก่น พรุ่งนี้ลุยงานต่อ
  • ฝากดูแลสวนด้วยนะ
  • ตอนนี้น่าจะคิดเรื่องแผนการขุนเหมยซานได้แล้ว
  • แบบที่เกษตรไม่ลงทุนมาก เพราะถ้าเลี้ยงรำตลอดก็คงขาดทุน
  • คิดฮอดเด้อ
  • พี่ออตพักผ่อนบ้างนะครับ
  • เดี๋ยวผมกับโต้งจะลองคิดวิธีขุนเหมยซานให้ครับ
  • ขอให้ thesis ผ่านนะครับ
  • แล้วพ้อกันครับ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท